การหายตัวไปของ ฮารุฮิ

การหายตัวไปของฮารุฮิ
เรียกเธอว่าพระเจ้า สึซึมิยะ ฮารุฮิ

ในตอนนี้มีแต่บทนิยายกับภาคคนแสดงไม่แปลนะครับ
ส่วนหนังกับการ์ตูนภาพต้องซื้อเอาอ่ะครับ ผมก้อว่าจะรอใครมาโพสก่อนนะครับค่อยเอามาให้


บทนำ ส่วนที่1

มันเป็นเช้าที่หนาวเย็นจริงๆ หนาวยังกับว่าโลกทั้งใบนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งเวลาเราเจาะมันขึ้นมา หรือถ้าจะให้คิดในแง่ดี ผมก็แค่เพ้อฝันเกินจริงไปเท่านั้น

ยังไงก็ตาม นี่มันก็แค่อากาศหนาวธรรมดา แหงล่ะ ตอนนี้ฤดูหนาวนี่หว่า ผมจำได้ว่างานวัฒนธรรมเมื่อเดือนที่แล้ว มันร้อนตับแลบเลย แต่พอเข้าเดือนธันวา อากาศก็หนาวซะจนสั่น จนร่างกายผมรู้สึกได้เลยว่า ปีนี้ญี่ปุ่นลืมฤดูใบไม้ร่วงไปเลย ไม่ต้องมาบอกว่าร่างกายผมมันชินไปแล้วหรอกนะ ผมไม่ใช่พวกไซบีเรียนที่ไม่ต้องสนใจเรื่องอากาศว่าจะอุ่นขึ้นมาเมื่อไหร่ซักหน่อย

นี่โลกเรามันเริ่มโคจรเพี้ยนๆแล้วรึไงนะ ระหว่างที่ผมกำลังเดินคิดเกี่ยวกับพระแม่ที่คอยดูแลธรรมชาติ ผมก็ได้ยินเสียง "โย่ เคียวน์"

เจ้าเพื่อนขี้เล่นวิ่งมาตบหลังผมเบาๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมหันหน้าไปหาหมอนั่น

     "โย่ ทานิงุจิ" ผมตอบกลับไปและหันหน้ามองไปข้างหน้าอีกครั้ง และมองความยาวของเนินเขาที่ผมต้องเดินขึ้นทุกวันนี่ด้วยความรังเกียจ ทำไมชั่วโมงพละเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยนะ พวกครูพละอย่างเช่นโอคาเบะ ครูประชั้นของผมน่าจะสนใจนักเรียนที่ต้องเดินขึ้นลงเขาทุกวันอย่างนี้บ้างสิ เฮ้อ แต่คงไม่มีทางซะล่ะ พวกนั้นขับรถขึ้นมากันนี่ ถ้าให้ผมเดานะ

     "ทำไมนายเดินยังกะคนแก่เลยวะ ก้าวให้มันยาวกระฉับกระเฉงหน่อยสิ นี่ถือเป็นการอบอุ่นร่างกายไปในตัวนะรู้ป่าว ดุชั้นสิ เสื้อสเวทเตอร์ชั้นยังไม่เห็นต้องใส่เลย สำหรับชั้นน่ะนะ ฤดูร้อนเป็นอะไรที่แย่สุด แต่ถ้าเป็นฤดูนี้อะนะ เฮอะ สบาย!"

มันคงดีแหละถ้านายแค่คุยโวน่ะ แต่ไหนล่ะ วิธีที่นายบอก ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้ซักนิด แน่จริงนายก็แบ่งความอุ่นมาให้ชั้นสิฟะ

ปากที่ไม่เคยหยุดของเจ้าทานิงุจิเริ่มยิ้ม

     "สอบปลายภาคก็จบไปแล้ว! ขอบคุณสวรรค์ หมายความว่าเราไม่มีเรียนอีกแล้วสิเทอมนี้ นายคิดว่ามีอะไนน่าหนุกมากกว่าช่วงวันหยุดนี้อีกมั้ย?"

 ผลสอบปลายภาคของนร.โรงเรียนนี้ดูจะเหลวไม่เป็นท่า แถมยังจบแบบดูไม่จืดอีกตะหาก บางที ถ้าจะมีอะไรที่มันต่างๆออกไปซักหน่อย ก็คงเป็นกระดาษที่มีผลการสอบพวกนั้นถูกส่งคืนไปให้พวกนักเรียน

ผมจำได้ว่าแม่เคยพูดไว้หลังจากที่เริ่มเป็นห่วงเรื่องที่โรงเรียน เพราะว่าพอผมขึ้นม.5 พวกเราจะถูกแบ่งสายตามที่เราเลือกเรียน สายวิทย์งั้นเหรอ? หรือสายศิลป์ดีล่ะ? หรือจะเรียนวิทยาลัยเอกชน หรือจะเรียนวิทยาลัยรัฐบาลดี นี่แหละที่ทำให้ผมหัวหมุนจนวันนี้

     "ใครจะไปสนเรื่องพรรค์นั้นล่ะ?" ทานิงุจิหัวเราะ "มีเรื่องที่สำคัญตั้งเยอะตั้งแยะให้นายสนใจนะ และรู้มั้ย ว่าวันนี้วันอะไร?"

     "วันที่ 17 ธันวาไง" ผมตอบ "มันมีอะไรรึไง?"

     "โธ่ เจ้างั่ง นายจำไม่ได้รึไงว่าอาทิตย์มีวันสำคัญอะไรที่จะทำให้นายมีความสุขน่ะ?"

     "อ่อ ไอนั่นน่ะเหรอ" ผมรู้คำตอบแล้วล่ะ "พิธีจบการศึกษาใช่มะ แล้วก็วันหยุดฤดูหนาวใช่ปะ?"

แต่เจ้าทานิงุจิกลับมองผมด้วยสายตาแปลกๆ "นี่นายพูดจริงใช่มะ? ลองคิดดูสิฟะ มีอยู่วันเดียวเท่านั้นล่ะ! คิดสิ ! เดี๋ยวนายก็นึกออกเองแหละน่า"

     "อืมมม"

ผมเป่าปากออกมา

วันที่ 24 ธันวา

 แน่นอน ผมรู้อยู่แล้ว ผมแทบจะเห็นภาพคนๆนึงที่จะเตรียมเอาเรื่องวุ่นวายเข้ามาในอาทิตย์หน้าเลย ใครไม่เห็นผมไม่สนหรอก ก็ผมเห็นนี่นา ไอ้คนที่ตรวจจับเหตุการณ์พิเศษต่างๆได้ว่องไวกว่าผมน่ะ นั่งอยู่ข้างหลังผม และหล่อนก็เพิ่งรู้สึกเศร้าที่เมื่อหล่อนดันลืมวันฮาโลวีนไปซะได้ ตอนนี้เจ๊แกเลยดูหงอยๆ เพราะไม่มีอะไรให้เล่น

พูดจากใจจริงเลยนะ ผมพอรู้แล้วว่าเธอกำลังจะทำอะไรต่อไป

เมื่อวานในห้องชมรม สุซุมิยะ ฮารุฮิ ประกาศสิ่งที่จะบังคับให้ทุกคนทำตามไว้แล้ว

     "ไง ทุกคนวางแผนอะไรในคืนคริสมาสต์อีฟบ้างมั้ย?"

ฮารุฮิ ผู้ที่โยนกระเป๋าทิ้งทันทีที่เธอปิดประตู มองเราด้วยสายตาที่เป็นประกายยังกะดาวสามดวงในกลุ่มดาวนายพราน

ฟังเสียงแม่คุณแล้ว เหมือนว่า "ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรไปเจ๊แกก็ไม่ได้สนใจทั้งนั้นล่ะ ผมรู้ดีเลย พวกคุณเข้าใจใช่มั้ย?" เพราะหล่อนจะทำให้คุณสั่นตั้งแต่คุณหลุดปากไปว่า "มี" ทันที

ขณะนั้น โคอิสุมิกำลังนั่เล่นการ์ดเกม TRPG กับผม ส่วนคุณอาซาฮินะที่ดูเหมือนว่าชุดเมดจะเป็นชุดปกติของเธอไปแล้ว กำลังผิงเตาผิงอยู่ ส่วนนางาโตะก็อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ปกหนา โดยขยับแค่นิ้วกับลูกตาเท่านั้น

ฮารุฮิวางกระเป๋าใบเบ้อเริ่มทที่เอามาพร้อมกับกระเป๋านักเรียนลงบนพื้น และเดินมาที่ผม เชิดอกเล็กน้อย แล้วมองลงมาที่ผม แล้วก็พูดว่า

     "เคียวน์ ชั้นรู้ว่านายไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น จริงๆชั้นก็ไม่อยากถามหรอก แต่มันคงผิดถ้าชั้นไม่ได้ถามนายให้แน่ใจ เอาล่ะ ตอบมาซะดีๆ"

รอยยิ้มที่เหมือนเจ้าแมวอ้วนส้มตัวหนึ่งที่มีชื่องเสียงไปทั่วโลก กำลังฉายอยู่บนหน้าของฮารุฮิ หลังจากเอาลูกเต๋าที่เพิ่งทอยไปเมื่อกี้ให้โคอิสุมิที่กำลังนั่งยิ้ม ผมก็หันไปหาฮารุฮิ

     "แล้วถ้าชั้นบอกว่ามีล่ะ เธอจะว่ายังไง?"

     "ก็แปลว่านายไม่มีแผนอะไรเลยไงล่ะ!"

เอาแต่ใจตัวเองจริงๆสิพับผ่า ฮารุฮิหันไปทางอื่นซะแล้ว เฮ้ย หยุดก่อนสิฟะ! ชั้นยังไม่ได้ตอบอะไรเธอเลยนะเฟ้ย!เฮ้อ ช่างเถอะ ไงๆผมก็ไม่มีแผนอะไรอยุ่แล้วนี่

     "โคอิสุมิ นายจะไปเดทกับแฟนนายมั้ย?"

     "มันคงจะดีมากเลยครับถ้าเป็นเช่นนั้นได้"

ให้ตายสิ หมอนั่นมันเอาตัวรอดได้ไงกัน โคอิสุมิแกล้งถอนหายใจ ทั้งที่จริงๆแล้ว หมอนี่ต้องโกหกแหงๆ

     "แต่ถึงยังไง อาจจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของผมก็ได้ ที่ตารางของผมในช่วงและหลังคริสมาสต์นั้นว่างพอดี จริงๆแล้วผมก็กังวลอยู่ว่าผมจะทำไรดีในช่วงที่อยู่คนเดียว"

รอยยิ้มบนใบหน้าของหมอนั่นบอกได้อย่างเดียวว่าหมอนี่มัน "ตอแหล" (ขออภัยที่ต้องเซ็นเซอร์ครับ ^^) แต่ดูเหมือนยัยฮารุฮิจะเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งเลยแฮะ

     "อย่าห่วงเลย! มันจะต้องวิเศษสุดๆแน่นอน!"

แล้วฮารุฮิก็หันไปหาเมดประจำห้อง

     "แล้วเธอล่ะ มิคุรุจัง? มีใครชวนเธอไปดู 'สายฝนที่กำลังเปลี่ยนเป็นหิมะตอนเที่ยงคืน' มั่งมั้ย? ยังไงก็เถอะนะ ถ้ามีใครพูดตามนี้จริงๆล่ะก็ หนีออกไปให้ไกลๆจากหมอนั่นเลยนะ"

คุณอาซาฮินะมองไปที่ฮารุฮิ ที่ถามเธอด้วยคำถามนั่น

     "เอ่อ ฉันคิดว่างั้นแหละค่ะ ตอนนี้ก็ยังไม่มีใคร.... เอ๋ ตอนเที่ยงคืนเหรอคะ? เอ่อ ให้ชั้นชงชาให้คุณซักถ้วยนะคะ..."

     "ชาภูเขาไฟร้อนๆเลย! มันเป็นชาสมุนไพรสมัยก่อนอะนะ ดังมากเลยรู้ป่าว"

     "ค..ค่ะ!! รอแปปนึงนะคะ"

คุณอาซาฮินะวางกาลงบนเตาแก๊สด้วยสีหน้าสนุกสนาน ไอ้การชงชานี่มันสนุกมากเลยงั้นเหรอ?

หลังจากพยักหน้าด้วยความพอใจแล้ว ฮารุฮิก็หันไปหานางาโตะในที่สุด

     "ยูกิจัง?"

     "ไม่มี"

นางาโตะตอบสั้นโดยที่ไม่เงยหัวเธอขึ้นมาเลย

     "ดีมากเลย"

หลังจากบทสนทนาที่ตรงไปตรงมาจบลง ฮารุฮิหันมาที่ผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยผม ผมมองไปที่หน้าซีดๆของนางาโตะ ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจแต่หนังสือนะถ้าไม่มีใครพูดถึงเธอ และผมก็คิดว่า  เธอคงจะเก็บอากาศที่หายใจเข้าไปเพื่อใช้ตอบคำถามง่ายๆสั้นๆแต่ตรงประเด็นทุกครั้งนั่นล่ะ อย่างน้อยเธอน่าจะทำเป็นคิดถึงตารางเวลาของเธอซักหน่อยนะ!

ฮารุฮิยกแขนขึ้น

     "งั้นกิจกรรมของกองพัน SOS ก็ผ่านข้อเสนออย่างเป็นเอกฉันท์ ถ้าใครจะมีอะไรโต้แย้งหรือจะบอกอะไรล่ะก็ เขียนมาละกัน และยื่นให้ชั้นหลังงานปาร์ตี้ และถ้าชั้นอยากจะอ่าน ชั้นก็จะอ่านมัน"

หรือพูดง่ายๆ นี่ก็เป็นเหตุการณ์แบบเดิมๆสินะ คำพูดของหล่อนไม่มีทางเปลี่ยนแม้จะมีใครพูดอะไร เหมือนเป็นคำสั่งของเจ๊แก แต่ลองเทียบกับเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว การที่เจ๊แกลองถามความเห็นคนอื่นแล้ว ถือได้ว่าแม่นี่พัฒนาขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเจ๊แกขอความเห็นคนอื่นแทนที่จะถามแผนของคนอื่น

ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจนั่น หมายความว่าทุกอย่างลงตัวแล้ว ฮารุฮิก็ก้มไปหยิบกระเป่าของเธอบนพื้นขึ้นมา

     "ยังไงก็ตาม คงไม่มีใครมาร่วมงานคริสมาสต์โดยที่ไม่เตรียมของขวัญอะไรเลยมาหรอกนะ จริงมั้ย? เพราะงั้นชั้นเลยเอาของนิดๆหน่อยๆมา มันคงจะดีถ้าเราฉลองเทศกาลด้วยสิ่งที่เข้ากับบรรยากาศนะ!"

สิ่งที่หล่อนหยิบออกมาจากกระเป๋า สเปรย์หิมะ สายรุ้งสีเงินและสีทอง ขนมแครกเกอร์ ต้นไม้ปลอมขนาดเล็ก ตุกตาผ้ารูปเรนเดียร์ สำลีสีขาว ไฟคริสมาสต์ พุ่มใบต้นคริสมาสต์ ผ้าสีแดงและสีเขียว พรมรูปเทือกเขาแอลป์ ตุ๊กตามนุษย์หิมะแบบแขวน เทียนตั้งโต๊ะเล่มหนา อุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับเด็กอนุบาล และซีดีเพลงคริสมาสต์...

ด้วยรอยยิ้มเหมือนกับพี่สาวข้างบ้านได้ให้ลูกอมเด็กๆ ฮารุฮิค่อยๆจัดของลงบนโต๊ะทีละอย่าง

     "ชั้นจะจัดปาร์ตี้ในห้องนี้แหละ พวกเราฉลองคริสมาสต์กันให้สนุกสนานตั้งแต่เริ่มเลย พวกนายเคยฉลองแบบนี้ตอนเด็กมั้ย?"

ไม่ว่าผมจะเคยมั้ย แต่ห้องน้องสาวผมเพิ่งจะเต็มไปด้วยเครื่องตกแต่งของวันคริสมาสต์เมื่อไม่กี่วันนี้เอง แม่ผมให้ผมช่วยอีกแล้วปีนี้ ยังไงก็ตาม น้องผมที่กำลังจะอายุ11และกำลังจะขึ้นป.5ปีนี้ ดูเหมือนจะเชื่อในเรื่องซานตาคลอสนะ เธอไม่เคยคิดว่าพ่อแม่ของเธอนั่นแหละที่เป็นคนให้ของขวัญเธอ รู้มั้ยว่าผมรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว

     "นายหัดเรียนรู้จากน้องสาวนายบ้างสิยะ! พวกเราทุกคนต้องเริ่มที่เชื่อมั่นในความฝันของตัวเองนะ หรือลองคิดง่ายๆเลย นายคิดว่าเราจะถูกล็อตเตอรี่ทั้งๆที่ไม่ได้ซื้อรึไง นายก็รู้ นายอาจจะหวังว่าใครซักคนจะทำให้นายถูกล็อตเตอรี่ซักสิบล้านเยน จริงมั้ย เพียงแต่เรื่องพรรค์นี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นก็เท่านั้นแหละ!"

ฮารุฮิพูดอย่างมีความสุข แล้วหยิบหมวกปาร์ตี้สามเหลี่ยมขึ้นมาสวม

     "รู้อะไรมั้ย กรุงโรมน่ะ มันก็ต้องเกิดจากชาวโรมัน เวลาเข้าเมืองตาหลิ่ว มันก็ต้องหลิ่วตาตาม คริสมาสต์ก็มีกฏของมันนะ นั่นคือเหตุผลที่แทบทุกคนฉลองวันเกิดอย่างมีความสุข แม้แต่พระเยซูก็ต้องยินดีที่เรามีความสุขจริงมั้ย!"

มีหลายความเชื่อเกี่ยวการเกิดของพระเยซูนะ แม้แต่ปีที่ท่านเกิดยังเป็นปริศนาเลย แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่โง่พอที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดในเวลาแบบนี้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น พอได้ยินว่ามีหลายความเห็นเกี่ยวกับวันเกิดของท่านแล้วล่ะก็ ยัยฮารุฮิคงโพล่งออกมาว่า "ดีเลย งั้นก็ให้เป็นคริสมาสต์ไปทั้งหมดนั่นเลยเป็นไง!" แล้วก็จะจบลงที่เราต้องเอาต้นไม้มาหลายครั้งต่อปี มันคงจะวุ่นพิลึกถ้าเราคิดจะเปลี่ยนจุดเริ่มของค.ศ. ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นปฎิทินของพวกโรมันหรือพวกบาบิโลเนีย มันแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมานี่นา เหล่าคนบนสวรรค์คงจะไม่ได้สนใจอะไรกับภพนี้หรอก และเค้าก็จะทำหน้าที่ของเขาต่อไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ โอ้ นี่มันช่างเป็นภพที่ดีเลิศอะไรอย่างนี้!




บทนำ ส่วนที่ 2

วิญญาณที่ยังหนุ่มแน่นของผมถูกกระตุ้นโดยความลับอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล แต่ฮารุฮิกลับไม่สนใจความฝันของผมซักนิด เหมือนกับแพนด้าที่พยายามจะหาหลักการเพื่อจะตกแต่งห้องให้สวย ฮารุฮิวิ่งไปรอบห้อง เอาของตกแต่งวางไปทั่ว ใส่หมวกปาร์ตี้ให้นางาโตะที่อ่านหนังสืออยู่ และพ่นสเปรย์ว่า "เมอรี่ คริสมาสต์" บนหน้าต่างในห้อง

จริงๆมันก็ดีนะ แต่เธอรู้อะไรมั้ย ถ้ามองจากนอกหน้าต่างน่ะ คำที่หล่อนกำลังพ่นอยู่เนี่ย จะเป็นตัวกลับหลังนะ รู้มั้ยเนี่ย?

ขณะที่ฮารุฮิกำลังมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่เธอทำ คุณอาซาฮินะเดินมาหาพวกเรายังกับตุ๊กตาไขลาน และยกถาดน้ำชามา

     "คุณสุซุมิยะค้า~ ชาได้แล้วค่า~"

การปรากฎตัวของคุณอาซาฮินะพร้อมรอยยิ้มในแบบของเมดแล้ว อย่างน้อยวันนี้ก็ยังเป็นวันที่ดีอยู่ มันทำให้หัวใจของผมได้เติมเต็มทุกครั้งที่ผมมองเห็น แม้ว่าจะต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายกับคำพูดของฮารุฮิในทุกครั้ง คุณอาซาฮินะก็ยังดูสบายๆในงานปาร์ตี้ครั้งนี้ ถ้าเทียบกับการไปแจกใบปลิวในชุดกระต่าย หรือปรากฏตัวในชุดเซ็กซี่ตอนที่ถ่ายหนังแล้ว มันน่าจะดีกว่าที่จะได้ร่วมงานปาร์ตี้พร้อมๆกับทุกคนในกองพันแบบนี้

แต่ , มันจะมีแค่นี้เองจริงเหรอ?

     "แต๊งจ้า มิคุรุจัง"

ฮารุฮิรับแก้วมา และยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกระดกชาสมุนไพรเข้าไป คุณอาซาฮินะยืนมองด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา

ฮารุฮิกระดกชาร้อนๆนั่นหมดในไม่กี่วิ ก่อนจะยิ้มกว้างพอๆคราวแรก

โอ้ ไม่นะ เวลายัยนั่นยิ้มทีไร จะต้องมีความคิดอะไรแผลงๆตามมาแน่ๆ นี่เป็นสิ่งที่ผมรู้ได้จากการอยู่กับหล่อนมานานน่ะ

ปัญหาก็คือ...

     "รสชาติเยี่ยมไปเลยนะ มิคุรุจัง จริงๆมันก็ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งตอบแทนเท่าไหร่ แต่ชั้นก็มีอะไรอยากให้เธอนิดหน่อยน่ะนะ ถือซะว่าเป็นของขวัญล่วงหน้าละกัน"

     "จริงหรือคะ?"

เมดแสนสวยกะพริบตาปริบๆ

     "แน่นอนอยู่แล้ว ความจริงแล้ว มันจริงยิ่งกว่าอะไรซะอีก จริงเหมือนที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก หรือโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ บางทีเธออาจจะไม่เชื่อนายกาลิเลโอนะ แต่เชื่อชั้นเถอะ! (ฮารุฮิพล่ามอะไรเนี่ย - ผู้แปล)"

     "เอ่อ... ค..ค...ค่ะ"

ฮารุฮิไปที่กระเป๋าของเธออีกรอบ

ความรู้สึกของผมบอกว่าเดี๋ยวต้องมีอะไรน่าปวดหัวอีกแน่ๆ ผมสบตากับเจ้าโคอิสุมิ ที่ยักไหล่และส่งรอยยิ้มบางๆมา ผมละอย่างจะเล่นเจ้าหมอนี่จริงๆที่ทำเป็นรู้อะไรซักอย่าง แต่ก็นะ นายนี่คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่ครึ่งปีโดยที่ไม่รู้อะไรหรอก และมันก็คงแปลกน่าดูถ้าหมอนี่จะเดาไม่ออกว่าอะไรจะเกิดต่อไปน่ะ

แน่นอน ผมคิดว่างั้น

ปัญหามันอยู่ที่ไม่มีใครหรือยาชนิดไหนที่จะรักษายัยฮารุฮิได้ ผมจะมอบเกียรติยศชั้นสูงให้เลยถ้ามีใครซักคนทำได้อะ ผมพูดจริงนะ

     "แต่น-แต๊นนน!"

ด้วยซาวนด์เอฟเฟคเหมือนเด็กๆ ฮารุฮิก็ได้หยิบอุปกรณ์คริสมาสต์ชิ้นสุดท้ายออกมาจากก้นกระเป๋า และมันก็คือ...

     "นั่น....นั่นคือ......"

คุณอาซาฮินะกระโดดหนีโดยอัตโนมัติ ส่วนฮารุฮิทำท่าเหมือนดัมเบิลดอร์ยื่นไม้เท้าสุดรักให้กับแฮร์รี่ พ็อตเตอร์คุงยังไงยังงั้น

     "ซานต้า ใช่แล้ว! ซานต้า! แม่นอะไรอย่างนี้เนี่ย ออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยนะเนี่ย เธอคงจะเป็นจุดเด่นแน่ถ้าไม่ใส่ชุดในช่วงเทศกาลแบบนี้น่ะ มา! ชั้นช่วยเธอเปลี่ยนเอง!"

พอคุณอาซาฮินะเริ่มถอยหนี ฮารุฮิก็คลี่ชุดในมือเธออกมา แน่นอน ชุดซานต้าไงล่ะ ไม่ต้องสงสัยเลย

แล้วผกับโคอิสุมิก็ออกมาจากห้องชมรม และทำได้แค่จินตนาการภาพฮารุฮิพยายามจับคุณอาซาฮินะใส่ลงในชุดซานต้าไปเรื่อยเปื่อย

"เอ๋" "อ๊า" "ว้ายยย" เสียงที่ดูเศร้าโศกพวกนี้ทำให้ผมเห็นภาพที่ไม่ต้องการขึ้นมา และทำให้ผมจินตนาการว่า เมื่อไหร่ผมจะได้เห็นสภาพข้างในนั่นนะ โอเค ผมรู้ตัวว่าผมเริ่มจะเพี้ยนแล้ว

หลังจากจมอยู่ในโลกแห่งจินตนาการอยู่พักหนึ่ง โคอิสุมิก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา เพื่อฆ่าเวลามั้ง? "ผมรู้สึกเสียใจกับคุณอาซาฮินะจริงๆครับ"

ชายผู้ซึ่งดูดีมีสกุลอย่างมากกำลังกอดอกและยืนพิงกำแพง

     "มันทำให้ผมรู้สึกโล่งใจนะครับ เวลาคุณสุซุมิยะกำลังสนุกสนานเนี่ย แล้วมันก็ทำให้ผมหนักใจไปด้วย เวลาคุณสุซุมิยะกำลังกลุ้มใจน่ะครับ"

     "นั่นเพราะไอ้มิติประหลาดๆที่เกิดขึ้นตอนยัยนั่นกำลังหงุดหงิดเรอะ?"

หมอนั่นดีดนิ้วทีนึง แล้วก็ตอบว่า

     "ใช่ครับ เพราะเจ้าพวกนั้นน่ะแหละ ไม่มีอะไรทำให้ผมและเพื่อนๆของผมกลัวไปมากกว่ามิติปิดกั้นและพวกอวตารพวกนั้นหรอกครับ จริงๆแล้วงานนี้มันเหมือนง่ายนะครับ แต่ที่จริงแล้วมันหนักหนาพอดูเลย จริงๆผมรู้สึกขอบคุณดาวนำโชคเมื่อตอนทานาบาตะมากๆเลยนะเนี่ย ที่ทำให้มิติปิดกั้นนั้น เกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ"

     "หมายความว่ามันก็ยังเกิดขึ้นอยู่งั้นหรือ?"

     "น้อยมากครับ โดยมากจะเป็นช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า ในช่วงที่คุณสุซุมิยะกำลังหลับอยู่น่ะครับ เหมือนว่าเธอจะฝันร้าย แล้วก็สร้างมิติปิดกั้นขึ้นมาน่ะครับ"

     "ยัยนี่มันตัวสร้างปัญหาจริงๆ ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับเลยรึไงนะ!"

     "ไม่ใช่นะครับ!"

     "นั่นเป็นเสียงตะคอกของเจ้าโคอิสุมิ บอกตรงๆว่าผมอึ้งไปนิดหน่อย โคอิสุมิตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มและดูหน้าถมึงทึงด้วย

     "ผมเดาว่าคุณคงไม่รู้ว่าคุณสุซุมิยะเป็นยังไงก่อนที่เธอจะเข้าม.ปลายนะครับ สามปีที่ผ่านมาที่เราเฝ้าสังเกตการณ์คุณสุซุมิยะจนกระทั่งเธอได้เรียนต่อในชั้นม.ปลาย เธอไม่เคยหัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้มาก่อน ทั้งหมดเริ่มตั้งแต่คุณสองคนพบกัน --- ไม่สิ น่าจะเป็นตอนที่คุณหลุดเข้าไปในมิติปิดกั้นกับเธอนั่นล่ะ ทำให้เธอดูจิตใจมั่นคงมากขึ้น ต่างกับตอนม.ต้นแบบคนละเรื่องเลย"

ผมจ้องตอบไปโดยที่ไม่พูดอะไร เหมือนว่าผมจะแพ้ถ้าผมเป็นคนละสายตาออกไปก่อน

     "คุณสุซุมิยะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดนะครับ เปลี่ยนไปในทางที่ดีซะด้วย พวกเราคิดว่าน่าจะให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป รวมถึงคุณด้วย สำหรับเธอ กองพันSOS เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่ เธอพบกับคุณ เธอพบกับคุณอาซาฮินะ และที่สำคัญที่สุดคือคุณนางาโตะ แล้วก็ ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ผมจะบอกว่ารวมถึงผมด้วย พวกเราเหมือนจะรวมเป็นคนๆเดียวกัน"

นั่นมันแค่ความเห็นของนายไม่ใช่เรอะ

     "มันก็จริงครับ ยังไงก็ตาม มันก็ไม่ได้ฟังดูแย่นี่ครับ ใช่มั้ย หรือว่าคุณอยากจะเห็นพวกอวตารมันโผล่มาชั่วโมงต่อชั่วโมงล่ะครับ? แต่ขอโทษนะครับ นั่นไม่ใช่งานอดิเรกที่ดีเท่าไหร่"

นั่นไม่ใช่งานอดิเรกของชั้นเฟ้ย และชั้นก็ไม่ได้อยากเข้าไปร่วมกับพวกนายด้วย ชั้นต้องการให้นายเข้าใจไว้ด้วย!

โคอิสุมิปรับอารมณ์ และในที่สุด ก็กลับไปสู่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มตามปกติ

     "ผมก็ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ พูดถึงเรื่องเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีแต่คุณสุซุมิยะหรอกที่เปลี่ยน พวกเราทั้งหมดก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน รวมถึงคุณ คุณอาซาฮินะ และผม บางทีคุณนางาโตะก็ด้วย รอบๆตัวคุณสุซุมิยะน่ะ ทุกๆคนจะต้องเปลี่ยนความคิดของตนบ้างไม่มากก็น้อยล่ะ"

ผมรู้สึกเหมือนโดนตอกกลับเลยแฮะ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นจี้ได้ตรงประเด็นหรอกนะ ผมไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันตรงกับผมเท่าไหร่ ที่ผมประหลาดใจคือ หมอนี่บอกว่า แม้แต่นางาโตะยังเปลี่ยนไปด้วย แม้จะนิดหน่อยก็เถอะ ที่โกงตอนแข่งเบสบอล, ที่เทศกาลทานาบาตะที่กินช่วงเวลา 3 ปี(เล่ม 3 บทที่สองครับ ผมไม่ได้แปลไว้ ขออภัยด้วยน้อ), ที่กำจัดเจ้าจั๊กจั่นยักษ์นั่น(เล่ม 3 บทที่สามครับ อันนี้ผมเผลอมองข้ามไป จบเล่มนี้จะแปลย้อนให้ครับ), ที่คดีฆาตกรรมบนเกาะปิดตาย(เล่ม 3 บทที่สี่ครับ), ที่ฤดูร้อนที่วนไปมาไม่สิ้นสุด(เล่ม 5 ครับ แล้วไหงเจ้าเคียวน์มันถึงพูดในเล่ม 4 ฟะ) พวกเราที่ป่วนให้ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา แม้การแสดงออกของนางาโตะจะน้อยมาก แต่มันก็มีสิ่งที่เปลี่ยน ย้อนกลับไปถึงตอนที่เราพบกันในห้องชมรมวรรณกรรมครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่ๆ ผมสังเกตเธอด้วยตาที่เหมือนกับกล้องโทรทรรศน์ของผม ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่า ผู้หญิงคนนี้มีบางสิ่งแปลกไปนิดหน่อยจริงๆ ทั้งตอนอยู่บนเกาะปิดตาย ตอนอยู่ในสระว่ายน้ำสาธารณะ ตอนเทศกาล Obon และยิ่งแปลกตอนที่เธอแสดงเป็นแม่มดในหนังของชมรม และตอนที่เธอแข่งเกมคอมพิวเตอร์กับพวกชมรมคอม(เล่ม 5 ครับ มันเอามาพูดอีกแล้วนะ - -)

แต่ มันก็ดีไม่ใช่รึไง? แม้ฮารุฮิจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ผมว่านางาโตะน่ะสำคัญกว่าเยอะ!

     "เพื่อแลกกับความสงบสุขของโลกแล้ว" โคอิสุมิพูดพร้อมกับรอยยิ้ม "การจัดงานคริสมาสต์เป็นอะไรที่ราคาถูกมาก ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ถ้ามันสนุกด้วยล่ะก็ ไม่ต้องเหตุผลอะไรมาอธิบายอีกเลยนี่ครับ!"

เนื่องจากมันออกจะขัดใจผมนิดหน่อย เลยไม่รู้จะต่อบทยังไง ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดออกมา

     "เข้ามาได้!"

เมื่อประตูถูกเปิดเข้าไปข้างใน โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อผมยืนพิงประตูอยู่ ผมก็ต้องหงายหลังโครมเข้าไปในห้องอะดิ

     "ว้ายยย!?"

ไม่ใช่เสียงของผมหรือฮารุฮิ แต่เป็นเสียงของคุณอาซาฮินะ และเสียงมันก็มาจากข้างบนด้วย หรือจะพูดอีกแบบนึง คือผมกำลังนอนหงายไปที่เพดาน และผมก็ไม่ได้เห็นเพดานซะด้วย แต่เป็นอย่างอื่น...

     "เฮ้, เคียวน์! อย่าแอบมองสิยะ!" นั่นเสียงฮารุฮิแน่นอน

     "หวา , อ๊า..." และนี่ก็เป็นคุณอาซาฮินะ ผู้ซึ่งกำลังร้องไห้และกระโดดถอยไปข้างหลัง ผมสาบานต่อเทวดาทุกองค์เลยว่า ผมเห็นแค่ขาของเธอจริงๆนะ!

     "แล้วนายจะนอนหาอะไรต่อล่ะยะ? ลุกขึ้นมาได้แล้ว!"

ฮารุฮิคว้าคอเสื้อผมขึ้น ผมเลยลุกขึ้นมาได้

     "นายแอบดูไรฮะ เคียวน์! นายแอบดูกางเกงในของมิคุรุจังงั้นเหรอ? นายมันพวกมนุษย์เมื่อ สองล้านห้าพันหกร้อยปีที่แล้วรึไง! นี่นายจงใจใช่มั้ย? ฮะ ใช่มะ!?"

นั่นมันความผิดของหล่อนไม่ใช่รึไงที่เปิดประตูโดยที่ไม่บอกก่อนน่ะ นี่มันเป็นอุบัติเหตุ ,อุบัติเหตุนะครับคุณอาซาฮินะ!   คำพูดอยู่ที่ริมฝีปากผม แต่ผมกลับมองไปที่อื่น ใครเรียกผมรึเปล่า?

     "หวาาาาา..."

ผมเห็นแค่คุณอาซาฮินะที่ยืนหน้าแดงอยู่

ชุดสีแดงที่มีลายเส้นสีขาว หมวกสีแดงที่มีบอลขนปุยอยู่บนยอดหมวก... มีอยู่แค่นั้นจริงๆ คุณอาซาฮินะพยายามดึงชุดปิดกระโปรงสั้นๆของเธอ และเหมือนจะมองผมด้วยน้ำตาที่ปนความเขินอายไว้นิดหน่อย

นี่แหละซานต้า สุดยอดกว่านางฟ้าไหนๆ สมบูรณ์ไร้ที่ติ นี่แหละคุณอาซาฮินะ ตัวตนของเธอที่แท้จริง หลานสาวของอดีตซานต้าที่แอบส่งมอบหน้าที่นี้ให้เธอ

ถ้าจะให้คิดะก็ ประมาณ 80% จะต้องเชื่อเรื่องนี้แน่ และแน่นอนว่า น้องสาวผมก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

     "ว้าว สุดยอดมากเลยครับ" นี่คือความเห็นของโคอิสุมิ "ผมต้องขอโทษนะครับ แต่ผมคงได้แค่พูดจริงๆ ชุดนี้เหมาะกับคุณมากเลยครับ"

     "ชั้นว่าแล้ว!"

ฮารุฮิโอบไหล่คุณอาซาฮินะเอาไว้ และลูบไปบนแก้มของคุณอาซาฮินะและมองไปบนหน้าของเธอ

     "นี่เค้าเรียกว่า น่ารักสุดๆไปเลยใช่มั้ย? มิคุรุจัง มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ! ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงงานปาร์ตี้คริสมาสต์ เธอจะได้เป็นซานต้าประจำกองพัน SOS เลยนะ! เธอน่ะเหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้เลยรู้มั้ย!"

คุณอาซาฮินะสั่นอย่างน่าสงสาร ยังไงก็ตาม มันก็ถูกของฮารุฮินั่นแหละ ไม่มีใครจะเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว ผมคิดว่านะ และผมก็ไม่แปลกใจเลยเมื่อหันไปมองนางาโตะ เด้กผู้หญิงตัวเล็กๆ,ผมสั้น,เงียบขรึม กำลังอ่านหนังสือของเธอต่อไป

และเธอยังคงสวมหมวกสามเหลี่ยมที่ฮารุฮิใส่ให้เธออยู่




บทนำ ส่วนที่ 3


หลังจากนั้น ฮารุฮิก็ให้พวกเรามาเรียงแถว และยืนอยู่ข้างหน้า

     "เข้าใจมั้ย? ตอนนี้มันไม่ดีแน่ถ้าไปเชื่อพวกซานต้าข้างถนน พวกนั้นมันหลอกลวงทั้งนั้น ของจริงน่ะคงอยู่ในที่ๆพิเศษที่ไหนซักแห่งบนโลกนี้ มิคุรุจัง , เธอต้องระวังตัวมากๆหน่อยนะ อย่าไปหลงเชื่อคำพูดของซานต้าที่เธอไม่รู้จักนะ ไม่ต้องไปเชื่อไม่ว่าพวกนั้นจะพูดว่าอะไร"

เอ่อ นั่นไม่ใช่คำแนะนำที่ดีเท่าไหร่นะ เพราะเธอเพิ่งจะทำให้คุณอาซาฮินะเป็น"พวกซานต้าหลอกลวง"เมื่อกี๊นี้เอง

เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่ายัยฮารุฮิ อายุขนาดนี้แล้ว ยังเชื่อเรื่องของตาแก่ที่รับอาสาทำงานเป็นอาสาสมัครนานาชาติเหมือนน้องสาวผม มันก็เหมือนกับเด็กสาวที่แขวนคำอธิษฐานถึง"โอโรฮิเมะและฮิโกโบชิ" (น่าจะหมายถึงเทศกาลทานาบาตะ หรือก็คือเจ้าหญิงทอผ้ากับชาวนา) แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ตาม ผมก็เก็บความสงสัยนี้ไว้คนเดียว ผมหมายถึง, เฮ้! ,นักบุญอาซาฮินะได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของเธอในห้องนี้แล้ว! แม้ว่านี่จะหลอกลวงเกินกว่าจะเป็นของจริง แต่จะเอาอะไรอีกล่ะ? ถ้ายังมีใครขออะไรอีก สงสัยได้เจอประเทศแถบสแกนดิเนเวียนรุมจวกแหง

ผมสงสัยว่า ตาแก่อ้วนที่ทำงานปีละครั้งเนี่ย ไปหาทุนมาจากไหน

     "เฮ้ , เคียวน์ ไอเดียเรื่องปาร์ตี้คริสมาสต์น่ะมันดีอยู่แล้ว แต่ไอ้เจ้าไอเดียปีนี้มันดันมาช้าไปหน่อย เลยจัดได้แค่วันประสูติของพระเยซู แต่ปีหน้า เราจะจัดทั้งวันประสูติของพระพุทธเจ้าและก็เจ้าโมฮัมหมัดด้วยเลยดีมั้ย ไม่งั้นชั้นว่ามันไม่ยุติธรรม!"

ทำไมเธอไม่รวมวันเกิดศาสนาของชาวเปอร์เซียไปด้วยเลยล่ะ? ลองคิดดูว่า ถ้าท่านๆเหล่านี้ที่อยู่ข้างบนก้อนเมฆได้เห็นเด็กวัยรุ่นประหลาดๆกลุ่มนึงจัดงานฉลองให้ คงทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะอยู่หรอก จริงๆแล้ว ฮารุฮิก็ไม่ได้อยากจัดงานฉลองอะไรนักหรอกนะ  ยัยนี่ก็แค่อยากจะสร้างความวุ่นวายเท่านั้น และผมว่าผมเดาไม่ผิดหรอก ยังไงก็ตาม ถ้าจะมีใครซักคนเดือดร้อนล่ะก็ ได้โปรดช่วยโทษยัยฮารุฮิคนเดียวเถอะ คุณก็รู้ว่าผมมีส่วนร่วมกับเธอน้อยขนาดไหน

ในสถานการณ์แบบนี้ ผมควรจะขอโทษเทพองค์ไหนดีล่ะ? ผมคิดเรื่องนี้อยู่จนฮารุฮิกลับไปนั่งประจำที่ของเธอพร้อมกับมองมาที่ผม

     "เราจะกินอะไรกันล่ะ? หม้อไฟ? สุกี้? แต่ปูน่ะ ชั้นเอามาไม่ได้หรอกนะ เวลาแกะเนื้อปูมันจะทำให้ชั้นรู้สึกขยะแขยงนิดหน่อย ทำไมปูพวกนั้นไม่สร้างให้กระดองของพวกมันกินได้ด้วยนะ? มันไม่คิดจะวิวัฒนาการตัวเองบ้างเลยรึไงนะ?"

ก็นั่นล่ะ เหตุผลที่มันมีกระดองไงล่ะ! พวกมันคงไม่ไปเจริญอยู่ในท้องของหล่อนแทนที่จะเป็นในทะเลหรอกนะ!

โคอิสุมิยกมือขึ้นและพูดว่า

     "งั้นพวกเราคงต้องรีบจองสถานที่แล้วล่ะครับ ช่วงวันหยุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าพวกเราไม่รีบล่ะก็ สถานที่พวกนั้นก็จะถูกจองเต็มหมดนะครับ"

ชั้นไม่คิดว่าชั้นอยากจะไปในที่ๆนายแนะนำมาหรอกนะ บางทีเจ้าของร้านโรคจิตอาจจะโผล่ระหว่างช่วงมื้อเย็นแล้วเปิดเผยการฆาตกรรมที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้นะ

     "น่า, นายไม่ต้องกังวลไปหรอก"

เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย เหมือนเธอจะสนใจในสิ่งที่ผมคิดเลยแฮะ แต่คำพูดต่อมาขอเธอคือ :

     "ชั้นจะจัดที่นี่แหละ ของที่จำเป็นทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ขาดก็แต่อาหารเท่านั้นล่ะ เอาล่ะ . . ชั้นว่าเอาหม้อหุงข้าวมาด้วยดีกว่า แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์น่ะ ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ชั้นสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ดื่มมันตลอดชีวิต"

     ชั้นหวังว่าเธอคงจะสาบานอย่างอื่นไว้มั่งนะ... แต่มีอีกอย่างที่สำคัญมากๆ "มีรึเปล่าหว่า?" ผมมองไปรอบๆห้อง

ในห้องก็มีหม้อและกาต้มน้ำไฟฟ้าแล้ว และก็มีตู้เย็นด้วย ฮารุฮิเอามาตั้งแต่เพิ่งตั้งกองพัน SOS เลย แต่เธอไม่ได้บอกผมนี่ว่าทั้งหมดน่ะเพื่อวันนี้! กาต้มน้ำน่ะ มีประโยชน์จากชาร้อนๆของคุณอาซาฮินะแล้ว แต่สำหรับในโรงเรียนแล้ว ยิ่งกับห้องชมรมเก่าๆแคบๆนี่ด้วยล่ะก็ ไม่น่าใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่เลยนะที่จะทำอาหารในนี้เนี่ย? มันน่าจะฉลาดกว่าถ้าหลีกเลี่ยงมัน จุดไฟในตึกแบบนี้เนี่ยนะ!

    "ไม่เป็นไรหรอกน่า"

ไร้ข้อโต้แย้งใดๆ, ฮารุฮิดูเป็นประกายเหมือนมั่นใจว่าตัวเองทำอาหารได้เยี่ยมแน่ๆ แม้จะไม่มีใบรับรองก็เถอะ

    "เอาน่า ถ้านายไม่สนใจมัน, ชั้นรับรองว่าต้องสนุกแน่ๆ ถ้ามีนักเรียน ญาติ หรือครูซักคนมาเจอเข้าล่ะก็  ชั้นจะโชว์หม้อไฟสุดพิเศษของชั้นเอง นี่เป็นแผนของชั้นล่ะ : รอจนถึงตอนนั้น และพวกนั้นจะยิ่งกว่ายินดีอีกที่จะได้ร่วมงานปาร์ตี้กับเรา! สมบูรณ์แบบ! ไร้ที่ติจริงๆ!"

แม้ว่าจะไม่ค่อยน่าสรรเสริญกับสิ่งที่ยัยนั่นทำเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับล่ะนะ ว่าถ้าฮารุฮิคิดอยากจะทำล่ะก็ เธอจะทำได้ดีแน่ๆ ผมเลยเดาว่า ถ้าเธอทำอาหารจริงๆล่ะก็ มันก็คงได้อย่างที่เธอพูดนั่นล่ะ แต่เดี๋ยวนะ, หม้อไฟงั้นเหรอ? ตัดสินใจตอนไหนเรอะ? ผมจำได้ว่าบทสนทนามันจบที่ปูคงไม่ใช่ความคิดที่ดี , แต่เธอแกล้งทำเป็นถามความเห็นชาวบ้าน แล้วก็สรุปเอาเองเลยนี่หว่า -- เอาเถอะ นี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยัยนั่นทำซักหน่อย เพราะงั้น ลืมๆมันไปเถอะ . . .

และ ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแบบย่อๆให้ทานิงุจิฟังเมื่อเรามาถึงโรงเรียน

     "คริสมาสต์ปาร์ตี้งั้นเหรอ..."

เมื่อเราก้าวข้ามรั้วโรงเรียน , เจ้าทานิงุจิดูเหมือนจะมีปัญหากับการกลั้นหัวเราะนะ

     "นั่นล่ะเครื่องหมายการค้าของสุซุมิยะเลยล่ะ หม้อไฟในห้องชมรม ยังไงก็อย่าให้พวกครูจับได้ล่ะกัน! ไม่งั้นล่ะก็เกิดปัญหาแน่ๆ"

     "แล้วนายจะมามั้ย?"

ระหว่างที่กำลังฝอยกันอยู่ ผมก็พยายามจะชวนเจ้าหมอนี่ด้วย ถ้าเป็นหมอนี่ ฮารุฮิคงจะไม่ว่าอะไรมั้ง หมอนี่,คุนิคิดะและคุณซึรุยะมักจะเป็นสามเกลอที่มาช่วยพวกเราตอนที่พยายามจะหาคน

ยังไงก็ตาม ทานิงุจิส่ายหัว

     "เสียใจด้วยว่ะเคียวน์ ชั้นไม่มีเวลาไปร่วมกับหม้อไฟโง่ๆในคืนคริสมาสต์หรอกนะ 555"

มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเรอะถึงต้องหัวเราะแบบนั้นน่ะ?

     "ฟังนะ: อยู่กับเพื่อนเพี้ยนๆ และกินหม้อไฟวันคริสมาสต์น่ะมันไม่น่าสนใจหรอกนะ ชั้นเสียใจด้วยว่ะ แต่ชั้นมีงานเลี้ยงกับเพื่อนในกลุ่มนิดหน่อย"

นายแน่ใจเรอะ?

     "ก็นะ จริงๆแล้วชั้นก็เป็นคนนึงที่อยู่เหนือความคาดหมายของนายนะ ชั้นน่ะมีหัวใจสีแดงวงไว้รอบปฏิทินวันที่ 24 แล้วล่ะ! เพราะงั้น ชั้นก็ขอโทษนายด้วย ขอโทษจากใจจริงเลยล่ะ ชั้นขอ,ขออ,ขอโทษษษษษ!"

นี่มันเพี้ยนอะไรไปหมดแล้วเนี่ย? เจ้างั่งทานิงุจิเนี่ยนะจะมีแฟนกะเค้าด้วย ในขณะที่ผมยังเล่นเกมพิลึกๆอยู่กับฮารุฮิแล้วก็กองพัน SOS เนี่ยนะ?

     "แล้วเธอคนนั้นคือใครล่ะ?"

ผมถาม , และพยายามอย่างมากไม่ให้เสียงผมฟังดูเหมือนกำลังหัวเราะอยู่

     "เด็กม.4จากโคโยอุเอ็น, แจ๋วใช่มะล่า?"

สถาบันโคโยอุเอ็นงั้นเหรอ โรงเรียนหญิงล้วนที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีด้านล่างเนินเขา ตั้งอยู่ตรงจุดเริ่มแห่งความทรมานในการปีนเขา และก็เป็นธรรมดาที่จะได้เห็นกองทัพชุดไดเมียวสีดำที่พวกนร.หญิงใช้เป็นเครื่องแบบ ที่นั่นมีชื่อเสียงมากในเรื่องสาวสวยมีระดับ และที่อิจฉาคือพวกหล่อนไม่ต้องทรหดขึ้นเขาเหมือนผม จริงๆนะ ผมไม่ได้รู้สึกอิจฉาเจ้าทานิงุจิเลยสักนิด

     "มีปัญหาหรือไง? นายก็มีฮารุฮิอยู่แล้วนี่ และหล่อนก็ทำหม้อไฟเองด้วย,ใช่มะ? หม้อไฟทำเองแบบนั้นน่ะ ฟังดูงี่เง่าและก็ถูกไปหน่อยนะสำหรับชั้น แต่ว่านั่นคงพอสำหรับนายแล้วล่ะ น่าอิจฉานายจริงๆว่ะ เคียวน์เพื่อนเอ๋ย!"

หนอยไอ้เวงนี่ มีคืนคริสมาสต์อีฟที่สมหวังแล้วยังจะมาโชวออฟอีกรึไง?

     "อืมม, ชั้นว่าต้องตัดสินใจก่อนล่ะว่าจะทำอะไรดี และก็จะใช้เวลายังไงด้วย ว้า ตอนนี้ชั้นวุ่นไปหมดแล้วว่ะเพื่อน!"

ดูเหมือนตอนนี้ผมจะพูดอะไรไม่ออกซักอย่าง

หลังจากเลิกเรียน ก้ไม่ได้มีเหตุการ์อะไรพิเศษเกิดขึ้น ผมกับเจ้าโคอิสุมิช่วงกันจัดห้องด้วยของที่ฮารุฮิเอามาใหม่ ฮารุฮิสั่งและก็ชี้นิ้วไปทั่ว คุณอาซาฮินะก็อยู่ในชุดซานต้า คอยเสิร์ฟชาให้กองพัน และวันนี้ นางาโตะก็อ่านหนังสือปกหนา... ขณะที่ สวมหมวกปาร์ตี้รูปสามเหลี่ยมนั้นอยู่

ในที่สุดก็หมดวัน ส่วนผสมของหม้อไฟก็ยังไม่ได้ตกลงกัน ทั้งหมดที่ตกลงในวันนี้คือ ผมก็ต้องเป็นคนไปซื้อและแบกมันมาทั้งหมด แล้วหม้อไฟในโลกนี้ควรจะมีอะไรบ้างล่ะ? ผมว่าคงไม่ใช่แค่แกงธรรมดาหรอก และต้องมีกลิ่นอายแปลกๆแหง

ผมรู้ว่านี่มันมากเกินกว่าจะเป็นแค่บทนำได้ แต่เชื่อเถอะ ทั้งหมดที่ผ่านมาน่ะแค่บทนำเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นเลย ประเด็นหลักของเล่มนี้น่ะ กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ต่างหาก จริงๆน่าจะบอกว่าเริ่มตั้งแต่คืนนี้มากกว่า แต่มันก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมากมาย

พรุ่งนี้คือวันที่ 18 ธันวาคมที่แม้แต่ยอดเขาจะต้องโดนลมหนาวพัดเข้าใส่ วันนั้นเองล่ะ ที่ผมจะตกอยู่ในห้วงแห่งความกลัว

หรือจะให้พูดอีกแง่ล่ะก็ : ผมจะหัวเราะไม่ออกเลย

---------------------------------------------------------------------------------------------------

จบบทนำแล้วนะครับ ตอนนี้จะเข้าสู่ช่วงเนื้อหาที่ผิดปกติแล้ว



บทที่ 1 ส่วนที่ 1 : ลางร้ายเริ่มปรากฎ



วันรุ่งขึ้น, ผมตื่นขึ้นมาโดยมีน้องสาวผมที่คอยปลุกผมด้วยวิธีการ กระชากผ้าห่มออก พร้อมๆกับเจ้าชามิเซ็น(แมวที่เอามาถ่ายหนังในเล่ม 2) ที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มข้างๆผม นี่ล่ะน้องสาวผม นักฆ่าเวลายามเช้าที่แสนจะสบายของผมด้วยคำสั่งของแม่



     "แม่บอกว่าพี่น่าจะตื่นมากินข้าวเช้าได้แล้วนะ"

น้องผมอุ้มเจ้าชามิเซ็นขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับถูจมูกไปที่หูของมัน

     "แกด้วยนะชามี่ , นี่เวลาอาหารแล้ว"

เจ้าชามิเซ็นที่กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงบ้านผมตั้งแต่งานวัฒนธรรม(ตอนถ่ายหนัง) หาวขึ้นมาและเลียอุ้งเล็บของมัน เจ้าแมวสามสีที่เคยพูดได้ตัวนี้ ตอนนี้ก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงธรรมดาๆในบ้านผม เหมือนกับแมวทั่วไปตามท้องถนน หรือที่จริงแล้ว ผมก็แค่เพ้อไปเองที่ได้ยินมันพูดภาษาคนออกมา ผมก็คิดออกอยู่แค่นี้แหละตอนนี้ แต่เจ้านี่ดีนะ ไม่ซนแล้วก็ไม่ค่อยร้องด้วย ใกล้เคียงกับคำว่าไม่มีตัวตนในบ้านเลยล่ะ หรือว่า มันลืมวิธีพูดภาษาแมวไปพร้อมๆกับภาษาคนซะแล้ว และที่แน่ๆ ดูเหมือนมันจะยึดเตียงผมเป็นที่นอนของมันไปแล้ว และเป็นที่สำหรับให้น้องผมซึ่งรักมันมาก มาเพื่อเล่นกับมัน

     "ชามี่จ๋าา,ชามี่~~~ ได้เวลาอาหารของเจ้าแล้วน้า!!"

แล้วน้องผมก็เดินกอดเจ้าชามิเซ็นออกไปจากห้อง เฮ้อ...อากาศตอนเช้านี่มันน่าซุกตัวอยู่ในเตียงมากกว่านะ ผมจ้องไปที่นาฬิกาพักนึง และในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งความอบอุ่นบนเตียงยามเช้าไป

จากนั้นผมก็อาบน้ำ แต่งตัว และลงมาที่ห้องอาหาร ก่อนจะเขมือบอาหารเช้าหมดในห้านาที และก็ได้ออกจากบ้านไปก่อนน้องผมซะอีก วันนี้ก็อากาศเย็นอีกครั้ง นี่สิค่อยเหมือนฤดูหนาวหน่อย

จนถึงตอนนี้ทุกอย่างยังคงปกติสุขดี

พอผมเดินขึ้นเขา ผมก็เห็นหลังหัวที่ดูคุ้นเคย ประมาณสิบเมตรข้างหน้าผมนั่นต้องเป็นทานิงุจิไม่ผิดแน่ ปกติแล้วหมอนี่มันชอบกระโดดโลดเต้นไปมา แต่วันนี้หมอนี่กลับเดินอย่างช้าๆ และผมก็ตามหมอนั่นทันในที่สุด

     "เฮ้! ทานิงุจิ!"

มันคงจะดีนะถ้าผมจะตบหลังทักทายเหมือนที่หมอนี่เคยทำกับผมไว้ ผมคิดว่างั้นนะ

     "...หืมม, เคียวน์เองเรอะ?"

เสียงเหมือนลอดผานอะไรสักอย่างออกมา อ้อ ใช่แล้วล่ะ ทานิงุจิใส่ผ้าปิดปากสีขาวอยู่นี่เอง

     "เฮ้ย เป็นอะไรวะ? เป็นหวัดงั้นเหรอ?"

     "เอ่อ...?" ทานิงุจิดูจะอ่อนล้ามาก "ก็อย่างที่นายเห็นนั่นละ จริงๆนะ วันนี้ขั้นอยากจะหยุดด้วยซ้ำ แต่ตาแก่ที่บ้านบังคับให้ชั้นมา"

เมื่อวานหมอนี่ยังดูปกติดีนี่หว่า ไหงเป็นหวัดปุบปับอย่างที่เห็นแบบนี้หว่า

     "อะไรของนายฟะ? ชั้นรู้สึกไม่สบายตั้งแต่เมื่อวานแล้วเฟ้ย *แค่ก แค่ก*"

โอเค, อย่ามาว่าผมเลยน่า ผมก็แค่ไม่เคยเห็นเจ้าทานิงุจิมันอ่อนแอปวกเปียกแบบนี้เท่านั้นเอง แต่หมอนี่มันป่วยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเรอะ? ผมเห็นแค่ความเฟอะฟะของมันเท่านั้นเองนี่

     "หืมม... จริงเหรอ? ชั้นว่าชั้นไม่ได้ดูดีอย่างนั้นนะ"

ทานิงุจิเอียงคอนิดหน่อย, และผมก็ยิ้มเยาะหมอนี่นิดหน่อย

     "นายเพิ่งจะฝอยแหลกเรื่องเดทในคืนคริสมาสต์อีฟไม่ใช่รึไง? เพราะงั้นนายก็รีบๆหายล่ะ โอกาสแบบนี้สำหรับนายมันหายากเต็มทนรู้มั้ย!"

แต่เจ้าทานิงุจิกลับเอียงคอมากขึ้น

     "เดทเรอะ? นายบ้าไปแล้วรึไง? ไอบ้า ชั้นไม่ได้มีแผนในวันคริสมาสต์อีฟเลยนะ!"

"อะไรนะ?" เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในหัวผม แล้วแฟนนายที่มาจากโรงเรียนไฮโซนั่นล่ะฟะ? นายเกิดโง่กระทันหันเมื่อคืนรึไงกัน?

     "เฮ้ย,เคียวน์, นายพล่ามอะไรของนายฟะ? ชั้นไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย!"

ทานิงุจิดูอารมณ์เสียสุดๆ เขาเงียบและเดินต่อไปอีกครั้ง นี่ก็เหมือนอาการหวัดทั่วไปนี่นา แล้วดูหมอนี่ก็อ่อนแอลงจริงๆนั่นล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากอารมณ์ของหมอนี่ ท่าทางเดทคงจะล่มแหงๆ และหมอนี่ก็ดูผิดหวังสุดๆ และจากที่หมอนี่โอ้อวดไปสุดๆ คงจะมองหน้าผมไม่ติดล่ะสิ เอาน่า ผมเข้าใจ ผมเข้าใจ

     "เอาน่า อย่าเศร้าไปเลย!"

ผมผลักเจ้าทานิงุจิ

     "ทำไมนายไม่มาร่วมปาร์ตี้หม้อไฟกับชั้นล่ะ? ชั้นจะนับนายเข้าไปด้วยก็ได้นะ!"

     "หม้อไฟอะไร? นายกำลังพูดถึงปาร์ตี้อะไรเหรอ? ชั้นไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย..."

โอ้,จริงดิ? ความช็อคมันคงทำให้คำพูดผมเป็นแค่อากาศไปสินะ เอาล่ะ ให้ชั้นอยู่เคียงข้างนายเอง(เริ่มYแล้วไง) ทุกอย่างจะดีขึ้นตามกาลเวลา และชั้นไม่ถือโทษกับคำพูดนายเมื่อกี้นะ ชั้นสัญญา

ทานิงุจิยังลากตัวเองขึ้นไป และผมก็เดินอยู่ช้าๆข้างๆหมอนี่

มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกตัวตอนนี้

ผมยังไม่ทันตั้งแต่กับความหนาวที่ปกคลุมทั่วห้องม.4/5เลย ผมไปถึงห้องก่อนระฆังจะดัง แต่ในห้องมีที่ว่างอยู่แค่สองที่ และหลายคนก็มีผ้าปิดปากอยู่บนใบหน้า นี่อธิบายได้อย่างเดียวว่า ฤดูกาลให้ไข้หวัดกลับมาแล้ว

ที่ผมแปลกใจที่สุดคือ ที่นั่งข้างหลังผมนั่ง ว่างเปล่าตั้งแต่ชั่วโมงแรก

     "เป็นไปไม่ได้..."

นี่ฮารุฮิลาป่วยงั้นเหรอ? ปีนี้ไข้หวัดระบาดรุนแรงขนาดนั้นเลยรึไงนะ? ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเชื้อโรคพันธุ์ไหนที่จะกล้าเข้าไปอาศัยในร่างกายของหล่อน แล้วอย่างฮารุฮิเนี่ยนะ จะโดนพวกเชื้อโรคหรือไวรัสเล่นงาน ถ้าจะบอกว่ายัยนั่นพยายามจะทำอะไรเพื่อเอาใช้ในงานปาร์ตี้ที่เธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ยังจะน่าเชื่อถือกว่า บางทีอาจจะเอาอะไรมาอีกนอกจากหม้อไฟก็ได้มั้ง?

บรรยากาศในห้องเรียนดูเปลี่ยนไปนะ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศแน่ๆ ดูเหมือนว่าประชากรในห้องจะลดลง

มันก็จริงที่ผมไม่มีความรู้สึกว่าฮารุฮิอยุ่ข้างหลังผม แต่ในเวลาเดียวกัน ยังรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเรียนมันเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก

และเมื่อคาบเรียนเริ่ม ผมก็เรียนอย่างเกียจคร้าน หลังจากนั้น อาหารเที่ยงอย่างเรียบๆก็ตามมา

พอผมหยิบกล่องข้าวที่เย็นจนเป็นน้ำแข็งขึ้นมา คุนิคิดะก็มานั่งอยู่ข้างหลังผมพร้อมข้าวกล่องในมือ

     "ดูเหมือนนายต้องการจะพักนะ ชั้นนั่งนี่ได้มัย?"

คุนิคิดะพูดพร้อมกับเปิดข้าวกล่องออกมา หลังจากได้อยุ่ห้องเดียวกับหมอนี่ มันกลายเป็นเรื่องปกติที่จะนั่งกินข้าวกับหมอนี่ ผมมองหาเพื่อนร่วมก๊วนอีกนึง แต่เจ้าทานิงุจิกลับไม่ได้อยู่ในห้องเรียน บางทีหมอนั่นอาจจะไปที่โรงอาหารของโรงเรียน

ผมหันเก้าอี้ไปข้างๆ

     "ดูเหมือนว่าไข้หวัดเริ่มจะเป็นที่นิยมกันจังนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ชั้นไม่ได้ติดหวัดกับเค้าด้วย"

     "หืมม?"

คุนิคิดะเปิดกล่องข้าวอย่างระมัดระวัง และมองอย่างงงๆมาที่ผม แล้วก็พูดขึ้นขณะที่เอาตะเกียบคีบก้ามปูขึ้นมา

     "ไข้หวัดมันระบาดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนี่นา! มันไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดาหรอก แต่มันคงดีถ้าเป็นแค่นั้น  ตั้งแต่เริ่มมียารักษาเมื่อไม่กี่วันนี้มานี้"

     "อาทิตย์ที่แล้วเรอะ?"

ผมหยุดตัดไข่ผัดผักขม และถามอีกรอบ

ผมจำไม่ได้ว่ามีใครเป็นไข้หวัดแบบนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่นา ไม่มีใครขาดเรียนเลย และก็ไม่มีใครไอค่อกแค่กในชั่วโมงเลยด้วย ทุกคนในห้องม.4/5ดูแข็งแรงดี หรือว่าปีศาจแห่งโรคภัยเก็บเรื่องนี้ไม่ให้ผมรู้? 

     "อะไรกัน? มีอยู่สองสามคนหยุดเรียน นายจำไม่ได้เหรอ?

ชั้นจำไม่ได้ ความจริงเรอะนั่นน่ะ?

     "แน่นอนสิ มันเพิ่งจะเพิ่มขึ้นอาทิตย์นี้ คงไม่ระบาดไปทั่วชั้นม.4หรอกนะ ไม่งั้นหยุดฤดูหนาวปีนี้กร่อยแหงๆ"

คุนิคิดะหยิบข้าวปั้นโรยงาเข้าปากไปอีก

     "ทานิงุจิน่ะเพิ่งจะป่วยเอาวันนี้ พ่อหมอนั่นก็พยายามรักษาด้วยการให้หมอนั่นแข็งแรงขึ้น และจะไม่ให้หยุดจนกว่าไข้จะสูงถึง 40องศา ชั้นหวังว่าหมอนั่นคงทำอะไรซักอย่างก่อนที่อาการจะหนักขึ้นไปอีกนะ

ผมหยุดขยับตะเกียบไปแล้ว

     "คุนิคิดะ โทษนะ ชั้นว่าเจ้าทานิงุจิเพิ่งดูเหมือนจะตายวันนี้เองนะ"

     "ไม่อะ ไม่มีทาง หมอนั่นเป้นแบบนี้มาตั้งแต่วันจันทร์แล้วไม่ใช่เหรอ? และหมอนี่นั่นก็ขอหยุดชั่วโมงพละด้วย"

ผมเริ่มงงหนักแล้ว

รอเดี๋ยวดิ,คุนิคิดะ นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน? เท่าที่ผมจำได้ เมื่อวานในชั่วโมงพละ, เจ้าทานิงุจิมันยังเล่นฟุตบอลอย่างแข็งขันอยู่เลยไม่ใช่รึ ผมไม่มีทางจำผิดแน่ๆ เพราะชั้นก็เล่นอยุ่ฝั่งตรงข้ามหมอนั่น และเพิ่งจะสไลด์เสียบหมอนั่นเอง แล้วก็ไม่นานหลังจากนั้น หมอนั่นก็บอกว่ามีแฟน แต่ถ้าผมรู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างนี้ รู้งี้ผมน่าจะคิดให้ดีก่อนจะเสียบหมอนั่นทั้งสองครั้ง

     "นายแน่ใจแล้วเหรอ? นี่มันแปลกมากเลยนะ!"

คุนิคิดะส่ายหัวก่อนที่จะคีบเอาแครอทขึ้นมากิน

     "หรือว่าชั้นจำผิดไป?"

หมอนี่พูดเรียบๆ

     "อืมมม, งั้นจะคอยดูตอนที่ทานิงุจิกลับมาละกัน"

วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันละเนี่ย? ทานิงุจิกับคุนิคิดะพูดเหมือนว่าจำอะไรไม่ได้เลยงั้นล่ะ แถมฮารุฮิยังหยุดอีกตะหาก อย่าบอกนะว่าจะเกิดปัญหากับคนทั้งโลกยกเว้นฮารุฮิ สัมผัสที่หกสำหรับเรื่องเพี้ยนๆของผมเริ่มส่งเสียงเตือน และส่งสัญญาณไปที่ประสาทหลังคอผม

ผมคิดถูก

ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือลางไม่ดี ท้องไส้ผมบอกผมว่านี่ต้องมีปัญหาแน่ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดยกเว้นฮารุฮิ... ดี เดี๋ยวสิ น่าแปลกนะที่จะมีคนๆเดียวที่พอจะรับรู้สัญญาณนี้ได้ ดูเหมือนว่ามนุษยชาติ ยกเว้นผมคนเดียว ที่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าไม่มีทางที่ใครจะรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ โลกก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปซักหน่อย

งั้นแล้ว ใครเป็นคนเจอปัญหาล่ะคราวนี้?

คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้ว

ผมเอง!

ผมยืนเอ๋อด้วยความสับสน และก็เหมือนโดนโลกทั้งใบทิ้งให้อยู่ข้างหลัง

เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว

เวลาพักเที่ยงวันที่ 18 ธันวา

ลางไม่ดีเริ่มเผยให้เห็น และมันกำลังจะเข้ามาในห้องเรียน





บทที่ 1 ส่วนที่ 2 : การกลับมาของ....

ว้าว! สองสาวที่นั่งใกล้ประตูระเบิดเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น คงเพราะจำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งจะเดินเข้ามานั่นคือใคร จากช่องระหว่างสาวปกกะลาสีทั้งหลายนั่น ผมเห็น"คนๆนั้น"ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม

 "คนๆนั้น"ส่งรอยยิ้มให้ทุกคนรอบๆนั้นระหว่างที่มือหนึ่งก็แกว่งกระเป๋าไปมา

     "ใช่จ้ะ, ชั้นไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ ชั้นอาการดีขึ้นเยอะแล้วล่ะเพราะเพิ่งไปฉีดยามาเมื่อเช้านี้เอง จะให้อยู่บ้านก็น่าเบื่อนะ ชั้นเลยกะว่าจะมาเรียนเฉพาะคาบบ่ายน่ะ"

รอยยิ้มหวานนั้นเป็นคำตอบว่าอาการไข้หวัดน่ะหายไปแล้ว หลังจากจบบทสนทนาแล้ว ด้วยผมที่ยาวถึงกลางหลังที่สะบัดไปมา "คนๆนั้น" ก็เริ่มเดิน -- ตรงมา -- หาพวกเรา

     "โอ๊ะ, ไปก่อนนะ!"

คุนิคิดะรวบตะเกียบขึ้น สำหรับผมนะ มันก็คงประมาณว่า ทำนองเสียงของผมมันหายไป หรือไม่ก็ ลมหายใจมันจะดูติดขัด ผมมองไปที่"คนๆนั้น" เหมือนว่าเวลาผ่านไปนานมาก แต่ที่จริง เธอก็แค่เดินไม่กี่ก้าวเอง พอเธอหยุดก้าว "คนๆนั้น"ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผม

     "มีอะไรเหรอ?"

เธอพูดด้วยท่าทางปกติและดูงุนงงนิดหน่อย ขณะที่มองมาที่ผม

     "เธอมองชั้นยังกะเห็นผีอย่างนั้นแหละ! หรือมีอะไรติดที่หน้าชั้นงั้นเหรอ?"

แล้วเธอก็หันไปหาคุนิคิดะ ที่กำลังเก็บกล่องข้าวอยู่

     "อ้าว, ไม่เป็นไรหรอก กินต่อเถอะ ชั้นขอวางกระเป๋าก็พอ ชั้นกินข้าวเที่ยงมาแล้วล่ะ ช่วงพักเนี่ย ชั้นให้เธอยืมที่ได้เลยนะ"

อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ เธอแขวนกระเป๋าไว้ข้างโต๊ะ แล้วหันไปหากลุ่มเพื่อนของเธอที่รออยู่ทันที

     "เดี๋ยวสิ"

ผมคิดว่าเสียงผมต้องแหลมแสบแก้วหูแน่เลย

     "เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง?"

"คนๆนั้น" หันกลับมา และมองมาที่ผม

     "เธอหมายความว่าไงน่ะ? แปลกหรอที่ชั้นมาอยู่ที่นี่อะ? หรือเธอจะหมายความว่าคงจะดีถ้าชั้นป่วยนานกว่านี้?  เธอหมายถึงอันไหนล่ะ?"

     "ไม่ใช่อย่างนั้น ชั้นไม่สนหรอกว่าเธอจะป่วยมั้ย ไม่ใช่..."

     "เคียวน์"

คุนิคิดะทุบหลังผมอย่างเป็นกังวล

     "นายเพี้ยนไปแล้วนะวันนี้! เคียวน์มันพูดเรื่องเพี้ยนๆทั้งวันเลย"

     "คุนิคิดะ, นายไม่คิดอะไรเหรอตอนนายเห็น"คนๆนี้"อะ?"

ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมยืนขึ้นและชี้ไปที่"คนๆนั้น"ที่กำลังมองผมอย่างอึ้งๆ

     "นายก็รู้ว่าหล่อนเป็นใครนี่? คนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่!"

     "...เคียวน์, มันไม่หยาบคายไปหน่อยเหรอที่เธอจะลืมเพื่อนร่วมห้องเพียงแค่เธอคนนั้นลาป่วย! เธอหมายความว่าไงที่ว่าชั้นไม่ควรจะอยู่ที่นี่น่ะ? พวกเราก็อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?"

ไม่มีทางที่ผมจะลืมหรอกน่า! ยัยคนที่พยายามจะฆ่าผมเนี่ย! มันดูจะแก่ไปหน่อยถ้าผมจะลืมหน้าคนที่พยายามจะฆ่าผมเมื่อครึ่งปีที่แล้วเนี่ย

     "เข้าใจล่ะ"

"คนๆนั้น" ยิ้มกว้างราวกับว่ากำลังดูตลกอยู่

     "เธอละเมอหลังอาหารล่ะสิใช่มั้ย? เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันร้ายน่ะ? คงจะเป็นงั้นสินะ เอาน่า! ตื่นได้แล้ว!"

     "เธอคิดงั้นเหรอ?" ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่ดูน่ารักนั่น "คนๆนั้น" หันไปหาคุนิคิดะเพื่อจะบอกว่าเห็นด้วย เธอปรากฎตัวขึ้นมาด้วยภาพที่ติดอยู่ในสมองผม และจะไม่มีวันลืมแน่ๆ

ภาพในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง ห้องเรียนที่ปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น -- เงาทอดยาวบนพื้น -- กำแพงที่ไม่มีหน้าต่าง -- มิติที่บิดเบี้ยว -- มีดกวัดแกว่งไปมา -- รอยยิ้มบางๆนั่น -- ผลึกคริสตัลที่เหมือนทรายที่กำลังทลายลงมา...

โดนลบล้างไปหมดหลังจากที่พ่ายให้นางาโตะ เธอผู้เป็นเหมือนหัวหน้าห้อง ผู้ที่เพิ่งจะย้ายไปรร.ที่แคนาดา

ที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าผม คือ อาซาคุระ เรียวโกะ

     "เธอจะดีขึ้นนะ ถ้าไปล้างหน้าล้างตาซักหน่อยอะ ถ้าไม่มีผ้าเช็ดหน้าล่ะก็ ชั้นให้ยืมของชั้นก็ได้นะ"

อาซาคุระล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง และผมก็หยุดเธอด้วยมือของผม ใครจะรู้ถ้าเธอหยิบอย่างอื่นที่มากกว่าผ้าเช็ดหน้าออกมา? (เอ่อ ผมว่าหมอนี่เริ่มจะกลายเป็นเจ้า K1 ไปซะแล้ว อาซาคุระนะโว้ย ไม่ใช่เรนะ แล้วแกก็ไม่ได้เรียนอยู่ในฮินามิซาว่าด้วย =w=)

     "เอ่อ ไม่เป็นไร ขอบคุณ บอกชั้นดีกว่าว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทุกๆอย่างเลย แล้วก็ บอกชั้นด้วย ทำไมเธอถึงเอากระเป๋ามาวางไว้ตรงที่ของฮารุฮิ? ที่นี่ไม่ใช่ที่นั่งเธอนะ นี่มันที่นั่งของฮารุฮิ"

     "ฮารุฮิ?"

อาซาคุระเลิกคิ้วขึ้น และถามคุนิคิดะ

     "ฮารุฮิคือใครเหรอ? มีใครที่ชื่อเล่นแบบนั้นมั้ย?"

คุนิคิดะตอบกลับด้วยคำตอบที่ทำให้ผมหมดหวัง

     "ไม่เห็นเคยได้ยินเลย , คุณฮารุฮิงั้นเหรอ... สะกดยังไงอะ?"

     "ฮารุฮิก็คือฮารุฮิสิ!"

ผมพูดด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง

     "พวกนายลืมเกี่ยวกับสุซุมิยะ ฮารุฮิหมดแล้วเหรอ? พวกนายลืมคนอย่างนั้นได้ไงกัน?"

     "สุซุมิยะ ฮารุฮิ.... เอาล่ะ, เคียวน์"

ด้วยเสียงนุ่มๆ คุนิคิดะพูดออกมาช้าๆ

     "คนๆนี้ไม่ได้อยู่ในห้องเรา! แล้วก็นะ เมื่อตอนที่จัดที่นั่งใหม่ไม่นานนี้ ที่ตรงนี้ก็เป็นของคุณอาซาคุระไม่ใช่เหรอ นายสับสนกับห้องอื่นรึเปล่า? อืมม ชั้นไม่เห็นเคยได้ยินชื่อสุซุมิยะ ฮารุฮิมาก่อนเลย ไม่น่าจะอยุ่ในชั้นม.4นะ..."

     "ชั้นไม่รู้จะว่าไงดีนะ"

ด้วยเสียงที่เหมือนแมว อาซาคุระพูดขึ้นเหมือนหวังว่าจะช่วยผมได้

     "คุนิคิดะคุง เธอช่วยหยิบของใต้เก๊ะชั้นให้หน่อยสิ ตรงมุมน่าจะมีหนังสือรายชื่ออยู่นะ"

ผมคว้าสมุดรายชื่อมาจากเจ้าคุนิคิดะทันที ผมเปิดหน้าแรกของห้องม.4/5 ผมไล่ไปที่ชื่อของผู้หญิง

ซาเอคิ, ซาคานากะ, สุซุกิ, เซโนะ ...

ไม่มีชื่อระหว่าง สุซุกิ และ เซโนะ ชื่อของสุซุมิยะ ฮารุฮิหายไปจากสมุดรายชื่อ นายกำลังมองหาใครน่ะ? เด็กคนนนั้นไม่ได้อยู่ในห้องเราตั้งแต่แรกแล้ว! หน้ากระดาษมันตะโกนบอก และผมก็ปิดสมุดลงพร้อมๆกับดวงตาของผม

     "...คุนิคิดะ, ชั้นมีอะไรให้นายช่วยหน่อย"

     "ได้เลย อะไรล่ะ?"

     "ช่วยหยิกที่แก้มชั้นที ชั้นอยากจะตื่นแล้ว"

     "นายแน่ใจนะ?"

หมอนี่ใช้แรงทั้งหมดที่มี และมันก็เจ็บมาก แต่ผมก็ยังไม่ตื่น หลังจากลืมตาขึ้น ผมก็ยังเห็นอาซาคุระยืนอยู่ข้างหน้า และทำปากเบ้

โลกนี้มันเกิดอะไรอีกล่ะเนี่ย?

ในที่สุดผมก็รู้ตัวว่าเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้อง ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผม เหมือนกับมองหมาที่ติดเชื้อสุนัขบ้า โธ่เว้ย! ทำไมกันฟะ? ผมไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา!

     "โธ่เว้ย!"

ผมถามผู้คนรอบตัวอยู่สองคำถามซ้ำไปซ้ำมา

สุซุมิยะ ฮารุฮิอยู่ที่ไหน?

แล้วอาซาคุระ เรียวโกะไม่ได้ย้ายไปแล้วเหรอ?

     "ไม่รู้สิ"

     "ไม่อะ, ก็เธอยังอยู่นี่ไง"

คำตอบที่ผมได้มาดูไม่ดีเท่าไหร่ พวกนั้นทำให้ผมรู้สึกมึนไปหมด ผมทำได้แค่พยุงตัวไว้ด้วยแขนข้างเดียวบนโต๊ะใกล้ๆ เหมือนว่าสภาพจิตของผมกำลังจะถูกทำลายยังไงงั้น

อาซาคุระวางมือลงบนข้อมือผม และมองดูผมอย่างเป็นกังวล กลิ่นหอมจากผมของเธอทำให้ผมรู้สึกมึนเข้าไปอีก

     "ชั้นว่าเธอควรจะไปห้องพยาบาลนะ อาการแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ตลอดแหละเวลาเธอรู้สึกไม่ค่อยดี มันจะต้องเป็นงั้นแน่! เธอกำลังจะเป็นไข้ล่ะสิ?"

ไม่มีทาง!

ผมอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่าผมไม่ใช่ตัวประหลาดนะ! เหตุการณ์ตอนนี้ต่างหากที่เพี้ยนไป!

     "เอามือเธอออกไปให้พ้น!"

ผมผลักมือของอาซาคุระออกไป และวิ่งออกไปจากห้องเรียน ความรู้สึกไม่ดีที่ผมสัมผัสวิ่งเข้าสู่สมองผม ความหนาวเย็นคือต้นเหตุงั้นหรือ ตอนที่คุยกับเจ้าทานิงุจิ , ชื่อของสุซุมิยะ ฮารุฮิหายไปจากสมุดรายชื่อ, การปรากฏตัวของอาซาคุระ... อะไรกัน? ฮารุฮิหายไปงั้นเหรอ? ไม่มีใครจำเธอได้เลยเหรอ? เป็นไปไม่ได้! ก็โลกนี้มันหมุนรอบยัยนั่นไม่ใช่เหรอ? ยัยนั่นไม่ได้โดนหมายหัวโดยกลุ่มข้อมูลในอวกาศนั่นเรอะ?

ผมทุบขาผมอย่างแรง ผมเกือบจะสะดุดเข้าแล้ว และผมเดินต่อไปตามระเบียง

สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวผมคือหน้าของนางาโตะ เธอคงอธิบายเหตุการณ์ให้ผมได้ ขึ้นอยู่กับนางาโตะแล้ว แอนดรอยด์จากนอกโลกผู้เงียบขรึม เธอแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง ไม่มีข้อโต้แย่งเลยถ้าจะบอกว่า ผมรอดตัวได้ทุกครั้งเพราะนางาโตะ

ใช่แล้ว นางาโตะ!

และเธอต้องช่วยคนอย่างผมในสถานการณ์แบบนี้ได้แน่ๆ

ผมเห็นห้องของนางาโตะแล้ว ผมถึงห้องในไม่กี่วินาทีโดยที่ไม่ต้องวิ่ง ผมเปิดประตูออกโดยไม่ต้องคิดอะไรแล้ว และเริ่มมองหาสิ่งมีชีวิตผมสั้นสีเทา

ไม่อยู่

แต่มันเร็วไปที่จะยอมแพ้ ตอนพักเที่ยงเธอต้องอยู่ในห้องชมรมเพื่ออ่านหนังสือแน่ๆ เพราะงั้นแม้จะไม่เห็นนางาโตะในห้อง แต่คงไม่ฉลาดแน่ถ้าเหมารวมว่าเธอก็หายตัวไปด้วย

คนถัดมาที่ผุดขึ้นมาในหัวผมคือเจ้าโคอิสุมิ ห้องชมรมวรรณกรรมอยู่ในตึกเก่าที่อยู่ห่างจากที่นี่พอสมควร และห้องของคุณอาซาฮินะก็อยู่ไกลยิ่งกว่า มันจะเร็วที่สุดถ้าไปที่ห้องม.4/9 ที่อยู่ข้างล่างนี่ โคอิสุมิ อิทสึกิต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกแบบนี้ ผมอยากจะเห็นรอยยิ้มของหมอนั่นมากกว่า (นั่นไง เปิดเผยแล้วสินะ...)

ผมวิ่งไปตามระเบียง,และกระโดดลงบันไดทีละสามขั้น และตรงไปที่ห้อม.4/9 ตรงมุมของตึก และก็ภาวนาให้นายเอสเปอร์นั่นอยู่ในห้องด้วย

ผ่านห้อง4/7 , ผ่านห้อง4/8 และนั่นห้อง4/9 จะต้อง...

     "เฮ้ย? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?"

ผมหยุดและเริ่มคิดทบทวน และเช็คให้แน่ใจอีกรอบ ป้ายห้องที่แขวนยู่บนกำแพงนั่น ทางซ้ายห้อง 4/8 คือห้อง 4/7 และทางขวาของห้อง 4/8 คือ...

เป็นแค่บันไดที่ทอดไปถึงทางหนีไฟ

ไม่มีอะไรอื่น ไม่มีอะไรอีกเลย

     "ใครจะไปคิดแบบนี้ได้...?"

อย่าว่าแต่ไม่มีโคอิสุมิเลย

ห้อง 4/9 ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

ผมยืนกอดอก

ใครจะไปคิดว่าห้องเรียนที่ตั้งอยู่ตรงนี้เมื่อวานจะหายไปวันนี้? นี่มันไม่ใช่แค่คนๆนึงหายไป แต่นี่มันหายไปทั้งห้องเลย และตึกก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปด้วย ไม่มีว่าจะเร่งแค่ไหนก็เหอะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มันหายไปในคืนเดียวนี่ แล้วพวกห้อง 4/9 หายไปไหนหมด?

ความช็อกทำให้ผมลืมเรื่องเวลาไปหมด พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผมยืนแข็งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะได้สติกลับมาจากฝ่ามือบนหลังผม ผมได้ยินเสียงครูชีวะที่ดูเหมือนก้อนมาร์ชเมลโล่กอดสมุดโน้ตลอยมา

     "เธอมาทำอะไรที่นี่? ได้เวลาเรียนแล้วนะ! กลับไปที่ห้องเธอเดี๋ยวนี้!"

ผมคงจะไม่ได้ยินสัญญาณกริ่งหมดเลา ทางเดินตอนนี้ไม่มีใครแล้ว และมีแต่เสียงสะท้อนจากครูในห้อง 4/7 เท่านั้น

ผมเริ่มออกเดินอย่างโซเซ เวลาไล่ตามสัญญาณนี่หมดแล้ว ทุกอย่างกำหนดลงไปแล้ว คนที่ไม่ควรอยู่ก็ปรากฏตัว และคนที่ควรจะอยู่ก็หายไปหมด การแลกเอาฮารุฮิ โคอิสุมิ และห้อง 4/9 ทั้งหมดเพื่ออาซาคุระคนเดียวนี่มันไม่ตลกเลยนะ!

     "เป็นบ้าอะไรไปหมดละเนี่ย?"

ถ้าผมไม่เป็นบ้า ก็คงเป็นโลกนี้ล่ะที่บ้าไปแล้ว

ใครเป็นต้นเหตุล่ะ?

เธองั้นเหรอ, ฮารุฮิ?




บทที่1 ส่วนที่ 3 : ความหวังอย่างที่สอง...

ขอบคุณสำหรับเรื่องทั้งหมดนั่น คาบบ่ายผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย เสียงทุกอย่างลอยผ่านหัวผม และข้อมูลทุกๆอย่างก็ไม่เข้าไปอยู่ในเซลล์สมองผมเลยด้วย ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่า ตอนนี้คือเวลาเลิกเรียนแล้ว

ผมกลัวนิดหน่อยกับอาซาคุระที่ขีดๆเขียนดินสอกดของเธออยู่ข้างหลังผม แต่ที่มากกว่านั้นคือ ทั้งฮารุฮิและโคอิสุมิไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน รวมถึงการมองตอกย้ำผมนี่จะทำให้ผมหมดความอดทนอยู่แล้ว เมื่อไหร่ที่ผมได้ยินว่า "อย่าเพิ่งกริ่งสิ" (สำนวนแปลกๆไหมครับ =w=) เหมือนกับผมจะจมอยู่ในหนองน้ำลึก และไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะย้ายก้นผมออกจากเก้าอี้เลย

ทานิงุจิเดินกลับบ้านพร้อมๆกับเจ้าคุนิคิดะ,ที่ดูจะกังวลเรื่องผมนิดหน่อย อาซาคุระออกจากห้องพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเธอที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เธอมองมาที่ผมก่อนที่เธอจะออกจากห้องไป มองแบบว่าเธอเป็นห่วงในตัวเพื่อนร่วมชั้น แต่ผมกลับรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมอีก

ในที่สุดผมก็กลับมาอยู่ตรงทางเดินที่ระเบียงอีกครั้ง พร้อมกับกระเป๋าในมือ หลังจากที่มีคนเข้ามาเพื่อจะทำความสะอาดห้อง

หลังจากเรื่องทั้งหมด ผมก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนหลังเลิกเรียน

ผมเดินลงบันไดด้วยความหนักใจ และลงมาถึงชั้นล่าง ที่นั่น มีช่องทางสว่างปรากฎขึ้นตรงหน้าผม ผมวิ่งตรงไปที่นั่นทันที

     "คุณอาซาฮินะ!"

นี่อาจจะเป็นทางสว่างกว่าเมื่อตอนเที่ยงใช่มั้ย? ที่กำลังเดินมาที่ผมคือเทพธิดาของผม ,ยารักษาทางสายตา และยิ่งกว่านั้นคือคุณซึรุยะก็ยืนอยู่ข้างๆเด็กสาวหน้าสวยคนนั้นด้วย นี่ทำให้ผมดีใจอย่างล้นเหลือจริงๆ

-- บางทีผมควรจะฉลาดกว่านี้อีกหน่อย

ผมวิ่งตรงไปที่รุ่นพี่ทั้งสองด้วยสปีดนรก และจับอย่างแรงที่ไหล่ของคุณอาซาฮินะที่กำลังมองมาที่ผม

     "เอ..เอ๋!!"

เธอกำลังตกตะลึงมาก แต่ปากผมก็เริ่มพูดแล้ว

     "ฮารุฮิหายไปแล้ว! ห้องโคอิสุมิก็กลายเป็นห้องที่ไม่มีจริง! ผมยังหานางาโตะไม่เจอ แต่อาซาคุระอยู่ที่นี่ และโรงเรียนนี่เริ่มจะแปลกๆไปแล้ว คุณยังเป็นคุณอาซาฮินะอยู่ใช่ไหมครับ?"

ตึง! นั่นคือเสียงกระเป๋าของคุณอาซาฮินะร่วงลงมาบนพื้น

     "เอ๋?อ่า, เห ... เอ่อ ด... เดี๋ยวก่อน..."

     "คุณคือคุณอาซาฮินะที่มาจากอนาคตใช่มั้ย?"

     "....อนาคตงั้นเหรอ? คุณหมายถึงอะไรอะ? และก็ ....ปล่อยฉันเถอะค่ะ"

ผมรู้สึกกระเพาะกลวงเป็นรู คุณอาซาฮินะมองมาที่ผมเหมือนลูกกวางที่เพิ่งเจอสิงโต ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความกลัว และนั่นก็คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด

ระหว่างที่ผมกำลังช็อคอยู่ ผมรู้สึกว่าแขนผมโดยบิดจนเกิดเสียง.. โอ้ย!!!

     "รอเดี๋ยวสิ,เจ้าหนู!"

คุณซึรุยะรวบแขนผมด้วยวิชาป้องกันตัวโบราณ

     "นายหยุดกระโจนใส่ชาวบ้านได้แล้ว มิคุรุของชั้นสั่นไปตั้งแต่หัวถึงเท้าแล้วเห็นมั้ย!"


เสียงเธอเหมือนจะหัวเราะ แต่เธอกลับมองมาด้วยสายตาที่คมกริบยังกะดาบ ผมมองไปที่คุณอาซาฮินะ เธอกำลังจะน้ำตาร่วงอีกแล้ว

     "นายเป็นแฟนคลับของมิคุรุจากพวกม.4งั้นเหรอ? ทุกอย่างมันต้องมีกระบวนการนะ,เจ้าหนู อะไรก็ตามที่เร็วเกินไปน่ะชั้นไม่ค่อยชอบหรอกนะ"

ผมรู้สึกหนาวไปหลายครั้งแล้ววันนี้ และมันก็กลับมาอีกแล้ว

     "คุณซึรุยะ..." ยังคงล็อกแขนผมอยู่ ขณะที่เสียงผมเริ่มจะหายไป

คุณซึรุยะมองผมตรงๆเหมือนว่าผมกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอไปแล้ว

คุณซึรุยะ, คุณก็ด้วยเหรอ...?

     "เฮ้, นายรู้จักชั้นได้ไงเนี่ย? แล้วก็ ,นายเป็นใคร? คนรู้จักของมิคุรุงั้นเหรอ?"

ผมเห็นสิ่งที่ผมอยากจะเห็นน้อยที่สุด คุณอาซาฮินะมองผมจากหลังคุณซึรุยะ และส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

     "ม...ม...ไม่ใช่ ชั้นไม่รู้จักเขาเลย เอ่อ...เขาคงจะสับสนระหว่างชั้นกับคนอื่นมั้ง..."

ผมรู้สึกเหมือนได้ใบประกาศผลสอบที่เขียนว่าผมสอบตกตัวโตๆ ตาผมเริ่มจะพร่ามัว ผมควรจะเงียบกับคำพูดของทุกคนที่เข้าใส่ผม แต่คำพูดของคุณอาซาฮินะทำให้ผมอึ้งหนักอย่างไม่เคยเป็น ตั้งแต่ที่ญาติผมโดนรถชนเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก

แน่นอนว่าผมไม่ได้จำเธอสับกับคนอื่นโดยเรียกเธอว่าคุณอาซาฮินะแน่ๆ นอกจากว่าคุณอาซาฮินะคนนี้เป็นคุณอาซาฮินะที่มาจากช่วงเวลาอื่น... อ้อ,ผมนึกออกล่ะ! มีทางเดียวที่ผมจะรู้ว่าคุณอาซาฮินะคนนี้คือคนที่ผมรู้จัก จริงมั้ย?

     "คุณอาซาฮินะ"

ผมใช้มือที่ว่างอยู่ชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง ผมพูดได้แค่ว่าผมเสียสติไปแล้ว ปากผมพูดออกไปเองทันที

     "มันน่าจะมีปานรูปดาวอยู่ตรงนี้บนหน้าอกของคุณ คุณมีใช่มั้ย ถ้าคุณจะอนุญาตให้ผมเช็ค--" (นี่นายทำกับผู้หญิงยังงี้เองเรอะเจ้าเคียวน์ >W<)

ผมโดนอัดด้วยหมัดเต็มแรง

ด้วยฝีมือของคุณอาซาฮินะ

คุณอาซาฮินะหน้าแดงขึ้นมาทันทีจากการกระทำของผม น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองตา และยกแขนขึ้นช้าๆ และเหวี่ยงหมัดมาใส่เต็มหน้าผม "...อ่อก" เสียงค่อยๆหายไปพร้อมที่เธอวิ่งหนีหายไป

     "นี่! มิคุรุ! อ่า ยังไงดีล่ะเนี่ย ส่วนนายเจ้าหนู เก็บความหื่น(baka-tsuki ใช้ว่าโอตาคุอะ ผมขอแปลตามเนื้อเรื่องละกันนะ ^^)ของนายไว้ซะ! มิคุรุน่ะขี้อายมากนายก็รู้! ถ้านายกล้าทำอะไรกับมิคุรุอีกล่ะก็ นายจะได้ขนหัวลุกแน่!"

แล้วเธอก็บิดข้อมิดผมอีกครั้ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมากอดไว้ และวิ่งตามคุณอาซาฮินะไป

     "เฮ้, รอด้วยสิ~ มิคุรู้~~~~W

     "....."

ผมมองไปอย่างไม่มีความรู้สึก ลมหนาวพัดเข้าสู่หัวของผมอีกครั้ง

นี่มันจบหมดแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย

นีผมจะมีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้ไหม? ถ้าข่าวที่ผมทำให้คุณอาซาฮินะร้องไห้แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียน มันต้องมีไม่น้อยแน่ๆที่จะมารุมกระทืบผม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมน่าจะทำให้ดีกว่านี้หน่อย บางทีผมน่าจะเตรียมใจไว้

ผมหยุดความคิดทุกอย่าง และโทรเข้ามือถือของฮารุฮิ และก็ได้ยินแค่ว่า "หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดให้บริการค่ะ" ผมไม่เคยมีเบอร์บ้านของเธอ และชื่อของเธอก็โดนลบออกไปจากสมุดรายชื่อแล้ว ผมกำลังคิดที่จะไปที่บ้านเธอ แต่เดี๋ยวนะ ผมยังไม่เคยไปบ้านยัยนั่นเลยนี่นา ไม่แฟร์เลยนี่ ยัยฮารุฮิเคยมาบ้านผมแล้วอะ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดแบบนั้นนี่นา

ลองมองข้ามการหายไปของห้องม.4/9ทั้งห้อง ผมตรงไปที่ห้องธุรการและถามหาฮารุฮิและโคอิสุมิว่าป่วยอยู่หรือเปล่า ผลที่ได้แย่อย่างที่คิด ไม่มีนักเรียนในชั้นนี้ที่ชื่อสุซุมิยะ ฮารุฮิ ไม่มีใครที่เพิ่งย้ายมาแล้วมีชื่อว่าโคอิสุมิ อิทสึกิ หรืออย่างน้อยผมก็ได้ยินอย่างนั้น

ผมมาถึงทางตันแล้วสิ

แล้วจะไปต่อที่ไหนล่ะ? หรือว่านี่คือเกม "ฮารุฮิอยู่ไหน" ที่ฮารุฮิจัดขึ้นมา? หรือนี่เป็นที่ให้หาว่าฮารุฮิที่หายไปอยู่ไหน? ว่าแต่เกมนี้มันมีเพื่ออะไร?

ผมเดินไปคิดไป ต้องขอบคุณหมัดของคุณอาซาฮินะที่ทำให้ผมรุ้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่มีอะไรมาลนก้นผมซะหน่อย ตอนนี้ผมต้องการสมาธิ ใจเย็นๆ

     "น่า ,ผมขอร้องล่ะ" ผมพึมพำออกมา

ตอนนี้มีอยู่แค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น มันเป็นความหวังสุดท้าย เส้นป้องกันสุดท้าย ถ้าทุกอย่างล่มล่ะก็ ทุกอย่างก็จบ และเกมโอเวอร์

ห้องชมรมวรรณกรรม ที่ตั้งอยู่ที่ตึกเก่า

ถ้านางาโตะไม่อยู่ที่นี่ล่ะ ผมจะทำไงต่อดี?

ผมค่อยๆเดินช้าลง และเหลือไม่กี่นิ้วที่สร้างความกดดันให้ผม หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ผมก็ยืนอยู่ข้างหน้าประตูไม้เก่าๆ ผมวางมือลงบนหน้าอก ตรวจเช็คการเต้นของหัวใจ มันผิดไปจากเดิมมากเลยแฮะ แต่มันก็ยังดีกว่าเมื่อช่วงเที่ยงนั่นล่ะ บางทีจิตประสาทผมคงเริ่มชินชาจากการถูกโจมตีหลายๆครั้งนั่น ผมมาถึงมุมแล้ว ไม่มีทางต่อไปข้างหน้าสำหรับผม นอกจากกลุ่มเมฆหมอกที่มืดสนิท ที่มีสถานการณ์ที่แย่ที่สุดสำหรับผม

ลืมไปได้เลยกับการเคาะประตู ผมเปิดประตูทันที

     "...!"

และผมก็เห็น

เด็กหญิงตัวเล็กนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ กับหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะยาวข้างหน้าเธอ

นี่คือ นางาโตะ ยูกิ มองตรงมาที่ผมผ่านแว่นของเธอ ด้วยสายตาที่ดูประหลาดใจ และอ้าปากขึ้นมา



บทที่ 1 ส่วนที่ 4


     "เธออยู่นี่เอง..."

ผมถอนหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยใจและโล่งใจและปิดประตูที่อยู่ข้างหลังผม นางาโตะไม่ได้พูดอะไรเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้ดีใจหรือโล่งใจมากนัก นางาโตะที่ผมรู้จักไม่ได้สวมแว่นตั้งแต่เกิดปัญหากับอาซาคุระ ยังไงก็ตามนางาโตะก็ใส่แว่นเหมือนกับอันที่เธอเคยใส่เมื่อก่อน ผมใช้เวลาคิดนิดหน่อย แต่นางาโตะดูดีกว่านะเวลาเธอไม่ใส่แว่น นั่นแหละความเห็นของผม

ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ที่นางาโตะแสดงออกมานั้นก็แปลก สิ่งที่อยู่บนหน้าเธอ เหมือนผู้หญิงชมรมวรรณกรรมโดยผู้ชายพุ่งเข้าหา ผู้ชายที่เธอไม่รู้จักดีเท่าไหร่? นี่มันน่าแปลกใจมากเหรอ? บุคลิกของนางาโตะคือการห่างไกลการแสดงอารมณ์ไม่ใช่เหรอ?

     "นางาโตะ"

บทเรียนจากคุณอาซาฮินะยังลอยชัดในจิตใจผม ผมไม่ได้พุ่งเข้าหาเธอทันที และเดินไปที่โต๊ะ

     "อะไร?"

นางาโตะตอบโดยที่ไม่ได้ขยับซักนิ้ว

     "บอกชั้นหน่อย เธอรู้จักชั้นมั้ย?"

นางาโตะปิดปากลงและขยับขาแว่นของเธอ และห้วงแห่งความเงียบก็กลับมา

ผมเริ่มคิดจะยอมแพ้และจะไปบวชเพื่อละเรื่องทางโลก และคำตอบก็ดังกลับมา

     "ชั้นรู้จักคุณ"

นางาโตะมองมาที่หน้าอกของผม ผมเริ่มมีหวังนิดหน่อยละ นางาโตะคนนี้จะต้องเป็นนางาโตะที่ผมรู้จักแน่

     "ที่จริงชั้นรู้จักเธอนิดหน่อยน่ะ จะเป็นอะไรมั้ยถ้าเธอจะฟังชั้นพูดซักแปป?"

     "..."

     "เธอไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นกลึ่มข้อมูลทางชีวภาพที่ถูกสร้างโดยเอเลี่ยน เธอมีพลังที่น่าสนใจที่คล้ายๆกับเวทย์มนตร์ เช่นไม้เบสบอลโฮมรัน และก็เข้าไปในหลุมจิ้งหรีดยักษ์...."

พอผมเริ่มพูด เซนส์ที่บอกผมว่าจะต้องเสียใจภายหลังก็เริ่มเข้าหาผม นางาโตะเริ่มทำหน้าตาแปลกๆ เธอลืมตาและอ้าปากค้าง และมองไปที่รอบๆไหล่ผม ยังกับว่าเธอกลัวที่จะมองผมตรงๆ

     "... นั่นคือเธอที่ผมรู้จักมาก่อน ถูกต้องไหม?"

     "ชั้นขอโทษนะ"

คำตอบของนางาโตะทำให้ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ขอโทษทำไมล่ะ? ทำไมนางาโตะถึงพูดแบบนี้?

     "ชั้นไม่รู้ ชั้นรู้จักว่าคุณเป็นนักเรียนห้องม.4/5 ชั้นเคยเห็นคุณบ่อยก็จริง ยังไงก็ตาม ชั้นไม่รู้เรื่องพวกนั้น สำหรับชั้น นี่คือครั้งแรกที่ชั้นได้คุยกับคุณ"

ความหวังสุดท้ายผมกลายเป็นเหมือนบ้านที่กำลังทลาย กลายเป็นทราย ย่อยยับและสลายไป

     "...งั้น เธอก็ไม่ใช่เอเลี่ยน? เธอไม่เคยได้ยินชื่อสุซุมิยะ ฮารุฮิมาก่อนงั้นเหรอ?"

นางาโตะส่ายหัวด้วยความงง และพึมพำว่า"เอเลี่ยน"เบาๆ

     "ไม่เคย"

     "เดี๋ยวก่อนสิ!"

นอกจากนางาโตะแล้ว ผมจะเชื่อใครได้อีก? ผมเป็นเหมือนลูกหงส์ที่กำลังจะถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง โอกาสสุดท้ายที่จะรักษาสติของผมขึ้นอยู่กับเธอ ถ้ามันหลุดไปอีกล่ะ ผมเป็นบ้าแน่

     "ไม่มีทาง!"

โอ้ ไม่นะ ผมเสียการควบคุมตัวเองอีกแล้ว ผมกำลังสับสนไปหมด เหมือนกับลูกไฟสามสีบินวนอยู่รอบตัวผมไม่หยุด ผมหมุนไปรอบโต๊ะ และเข้าไปใกล้นางาโตะ

นิ้วซีดๆกำลังปิดหนังสือ ที่หนาและแข็งมาก ตอนนี้ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น นางาโตะลุกขึ้นจากที่ และก้าวไปข้างหลังราวกับพยายามจะออกห่างจากผม ดวงตาสีดำของเธอหมุนด้วยความลังเล

ผมจับที่ไหล่ของนางาโตะ ผมเสียการควบคุมตัวเองให้มองไปถึงความผิดพลาดกับคุณอาซาฮินะ ผมสนใจแค่ไม่อยากให้นางาโตะหนีไป ถ้าผมไม่จับเธอไว้ล่ะก็ เพื่อนผมทุกคนจะต้องหายไปหมดแน่ ผมไม่อยากเสียใครอีกแล้ว

ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนจากชุดนักเรียนของเธอ ผมพยายามจะพูดเรื่องประวัติของเธอ จนเธอหันหน้าหนีไป

     "ได้โปรดเถอะ จำได้ซะที! โลกมันเปลี่ยนไปตั้งแต่เปลี่ยนจากเมื่อวานมาเป็นวันนี้ ฮารุฮิก็ถูกแทนที่ด้วยอาซาคุระ! ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้งั้นเหรอ? กลุ่มข้อมูลความคิดเอกภพเหรอ? อาซาคุระฟื้นกลับมา เธอน่าจะรู้อะไรมั่งสิ! เธอกับอาซาคุระมาจากที่เดียวกันไม่ใช่เรอะ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ฮะ? ถ้าเธอพูดได้ละก็ อธิบายชั้นที--"

เหมือนกับที่นายทำมาตลอดนั่นล่ะ ผมยังทำต่อไปอีก แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีตะกั่วหนักหมุนวนอยู่ในท้องผม

แล้วผลที่กลับมาล่ะ.... เหมือนคนอื่นๆงั้นเหรอ?

นางาโตะปิดตาลง และหน้าเธอก็แดงอีกครั้ง และครางเบาๆ เหมือนจะเป็นลมออกมาจากช่องปากเล็กๆของเธอ และผมก็รู้สึกว่าไหล่เธอกำลังสั่นอยู่ใต้มือผม เหมือนกับลูกสุนัขในอากาศหนาวเหน็บ เสียงกระซิบเบาๆมาถึงหูผม

     "พอเถอะ..."

ผมได้สติอีกครั้ง และตอนนี้ หลังนางาโตะก็ชิดกำแพงไปแล้ว หรืออีกนัยนึง ผมผลักนางาโตะไปติดกำแพงโดยที่ไม่รู้ตัว ผมทำอะไรลงไปเนี่ย? ผมทำเหมือนพวกอันธพาลเลยใช่มั้ย? ถ้ามีใครมาเห็นละก็ ผมจะต้องถูกจับใส่กุญแจมือ และนำไปพิพากษาตอนหน้าประชาชีแน่ๆ เมื่อดูๆแล้ว ผมก็เป็นไอ้งั่งที่เข้าหาเด็กสาวเวลาที่อยู่ในห้องชมรมวรรณกรรมแค่สองคน

     "ผมขอโทษ"

ผมรู้สึกเรี่ยวแรงหายไปหมดพอผมยกมือขึ้น

     "ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ ผมแค่อยากจะเช็คอะไรบางอย่าง..."

ผมเริ่มเข่าออก และพยุงตัวกับเก้าอี้ และทรุดลงไปตรงนั้น นางาโตะไม่ได้ขยับหลังออกจากกำแพงเลย นี่คงเป็นโชคอย่างนึงที่เธอไม่รีบแจ้นออกนอกห้องไป

ผมมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง และรู้ทันทีว่ารี่ไม่ใช่ฐานลับของกองพัน SOS อีกแล้ว ในห้องมีชั้นวางหนังสือและเก้าอี้พับ และคอมตั้งโต๊ะบนโต๊ะไม้เก่าๆ ตัวเครื่องไม่ได้เหมือนกับที่ฮารุฮิไปขโมยมาจากชมรมคอมด้วยการแบล็กเมล์ แต่ดูจะเก่ากว่าซักสามรุ่นได้ จะให้เทียบล่ะก็ คงเหมือนรถม้ากับรถด่วนพลังแม่เหล็ก

โต๊ะของหัวหน้าที่มีแท่งสลักคำว่า "หัวหน้า" ไม่มีให้เห็น และตู้เย็นหรือพวกชุดคอสเพลย์ก็ไม่มีเช่นกัน ไม่มีเกมกระดานที่โคอิสุมิเอามา ไม่มีสาวใช้ ไม่มีหลานสาวของซานต้า ไม่มีอะไรเลย

     "โธ่เว้ย!"

ผมกุมหัวตัวเอง เกมโอเวอร์แล้ว! ถ้านี่เป็นการทำร้ายจิตใจของใครบางคนล่ะ ยินดีด้วย พวกเธอทำสำเร็จแล้ว! ผมจะยกย่องเธอ แล้วใครกันล่ะที่อยู่เบื้องหลัง? ฮารุฮิ? กลุ่มข้อมูลที่มีความคิดในเอกภพ? หรือเป็พวกศัตรูที่ยังไม่เผยตัวบนโลกนี้?...

ผ่านไปประมาณห้านาที ผมได้ข้อยุติซักที ผมเงยหัวขึ้นมามอง

นางาโตะที่ยังติดอยู่กับกำแพง มองตรงมาที่ผม แว่นเธอสี่นนิดหน่อย ขอบคุณพระเจ้าที่นางาโตะไม่มีท่าทีว่ากลัว แต่ดูเหมือนน้องสาวที่มีโอกาสพบกับพี่ชายที่ตายไปแล้วบนถนนย่านชานเมืองมากกว่า อย่างน้อยเธอคงไม่พูดถึงปัญหานี้ ในปัญหาแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โล่งใจขึ้นมาหน่อย

ทำไมคุณไม่นั่งล่ะ? ผมเริ่ม แต่ก็นะ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ของนางาโตะนี่นา ผมจะลุกให้เธอนั่งดีมั้ย หรือว่าผมควรจะกางเก้าอี้อีกซักตัว? โอ้ และเธอจะต้องไม่อยากนั่งใกล้ผมแน่

     "ขอโทษนะ"

อีกหนึ่งคำขอโทษ และผมก็ลุกขึ้น เอาเก้าอี้พับมาอีกตัว และขยับไปที่กลางห้อง ห่างจากนางาโตะพอสมควร ผมกางเก้าอี้ออกและนั่งลง และเอามือกุมหัวตัวเองต่อ

นี่ก็แค่ห้องชมรมวรรณกรรมเล็กๆ วันหนึ่งเมื่อเดือนพฤษภา ฮารุฮิลากผมมาเหมือนกับหุ่นยนต์ที่บ้าคลั่ง และเราก็เจอกับนางาโตะเป็นครั้งแรก ห้องที่ผมเห็นครั้งแรกนั้นก็เหมือนกับที่นี่ ตอนนั้นในห้องมีแค่โต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางหนังสือ และก็นางาโตะเท่านั้น ตอนนี้ ห้องนี้ถูกวางเครื่องประดับหลายอย่างไปทั่ว ทั้งหมดเพราะฮารุฮิประกาศว่า "ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ห้องนี้คือห้องชมรมของเรา!" รวมถึงอุปกรณ์อย่างกระติกน้ำร้อน กาน้ำ หม้อดิน ตู้เย็น คอมตั้งโต๊ะ...

     "เดี๋ยวสิ"

ผมเอามือออกจากหัว

เดี๋ยวสิ มีอะไรที่นี่อีกครั้งล่ะ?

ที่แขวนเสื้อผ้า เครื่องทำน้ำร้อน กาน้ำชา ถ้วยชา เครื่องเล่นเทปเก่าๆ...

     "ไม่ใช่พวกนี้"

ลองหาของที่ไม่ได้อยู่ในห้องตอนที่ยังไม่ได้เป็นรังของกองพัน SOS แต่เพิ่งมามีทีหลัง และมีอยู่ตอนนี้!

     "คอมพิวเตอร์!"

รูปร่างต่างกันลิบ เหมือนก็แค่วางไว้บนพื้น และดูเหมือนจะไม่ได้ต่อเน็ตด้วย ยังไงก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดแล้ว มันเป็นเหมือนคำตอบของเกม"จับผิดภาพ"นั่นแหละ

นางาโตะยังยืนอยู่ เธอมองมาที่ผมตั้งนานแล้ว แต่พอผมหันไปหาเธอบ้าง เธอจะก้มมองไปที่พื้น พูดก็พูดนะ ผมเห็นเธอหน้าแดงอีกแล้ว

เฮ้... นางาโตะ นี่ไม่สมเป็นเธอเลยนะ! เธอไม่เคยหลบสายตาและก็ไม่เคยหน้าแดงแบบนี้ด้วย

บางทีมันคงไม่มีประโยชน์ แต่ผมพยายามจะไม่รบกวนตอนผมยืนขึ้น หรือไม่ทำให้เธอตกใจ

     "นางาโตะ"

ผมชี้ไปที่คอมพิวเตอร์

     "ผมขอใช้คอมนี่แปปนึงได้มั้ย?"

นางาโตะดูจะอึ้งและค่อยๆสับสน เธอมองสับไปมาระหว่างคอมกับผมอยู่พักนึง และเธอก็กระซิบขึ้นมา

     "รอแปปนะ"

--------------------------------------------------------------

แถมรูปสีของส่วนที่ 2 [ลืมลงให้ =w=]


แล้วก็ส่วนสุดท้ายของบทนี้ น่าจะลงให้ได้ภายในวันศุกร์นะครับ ขอบคุณท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ ^^ ช่วงนี้เปิดเทอม งานเยอะ =w= ติดตามที่นี่ จิ้มฉันดิ


ผมก๊อปเขามาน่ะครับ ข้อความสำคัญที่เขาบอกก้อเก็บไว้อันไหนไม่สำคัญผมลบไปแล้วครับอันไหนต้องเติมให้เข้าใจก้อเติมให้แล้ว

ส่วนสาวก ฮารุฮิ ที่ครั่งมาก ดูอันนี้ไปก่อนนะครับ
พอดีไปเจอมา
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูแบบอนิเมก็ดูอันนี้แก้ขัดไปก่ อนนะครับ
คิดซะว่าดูกันขำๆ 
ปล.ถ้าอ่านแบบนิยายมาแล้วจะช่วยให้เข้าใจเนื้อเรื่อง มากยิ่งขึ้น
ปล.2 นำแสดงโดยนักแสดงสมัครเล่น (ไม่รู้ว่าชื่ออะไรบ้าง)

part1
http://www.youtube.com/watch?v=1LvxY5eyRFU

part2
http://www.youtube.com/watch?v=z3JXI...eature=related

part3
http://www.youtube.com/watch?v=HQXKj...eature=related

part4
http://www.youtube.com/watch?v=-Jq_n...eature=related

part5
http://www.youtube.com/watch?v=DhWHU...eature=related

part6
http://www.youtube.com/watch?v=3UKZH...eature=related

ลำนำใบไผ่
part1
http://www.youtube.com/watch?v=-Pcqih556O4

part2
http://www.youtube.com/watch?v=w5ixO...eature=related

part3
http://www.youtube.com/watch?v=5coVy...eature=related